จากฮาเฟซ อัลอัสซาดสู่จุดเริ่มอาหรับสปริงซีเรีย

อำนาจการปกครองเป็นของคนส่วนน้อย คนกลุ่มนี้แหละที่ได้รับประโยชน์ ทิ้งให้ประชาชนจำนวนมากอยู่ตามมีตามเกิด อำนาจนี้เปลี่ยนมือไปมาจนมาถึงระบอบอัสซาดที่อยู่ได้ 2 ชั่วคนคือพ่อกับลูก

            ความพ่ายแพ้ในสงครามอาหรับ-อิสราเอล 1967 ทำให้ฝ่ายอาหรับต้องทบทวนตนเอง อียิปต์ประกาศนโยบายใหม่ขออยู่ร่วมกับอิสราเอลอย่างสันติ ซีเรียสูญเสียที่ราบสูงโกลัน รัฐบาลพรรคบาธเสียหน้าอย่างรุนแรง นายพลฮาเฟซ อัลอัสซาด (Hafez al-Assad) เห็นว่าต้องยึดที่ราบสูงโกลันคืน แต่ก่อนถึงวันนั้นซีเรียต้องเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านอาหรับเพื่อความเป็นเอกภาพและได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากบรรดากษัตริย์อาหรับ ปี 1971 นายพลฮาเฟซ อัลอัสซาดขึ้นเป็นประธานาธิบดี

การรวมศูนย์อำนาจ:

            สมัยนี้อำนาจการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจอยู่กับผู้นำสูงสุด (Patrimonialism) ถ่ายทอดลงเป็นชั้นๆ โดยผู้ปกครองสูงสุดกุมอำนาจเหนียวแน่น ประธานาธิบดีฮาเฟซ อัลอัสซาดบิดาของประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาด (Bashar al-Assad) คือตัวแทนของการปกครองดังกล่าว

            รัฐบาลกลางให้ความสำคัญกับเมืองใหญ่ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลถูกผลักดันให้ออกนอกเมืองใหญ่ ไปอยู่ในชนบทที่อำนาจรัฐไปไม่ค่อยถึง รัฐบาลสามารถควบคุมพื้นที่สำคัญ แต่เป็นโอกาสให้ฝ่ายต่อต้านชุมนุมกัน

            สมัยประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาดพยายามปฏิรูปการเมือง แก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน แต่ไม่เคยปฏิรูปจริงจัง ประชาชนรู้สึกผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เห็นอนาคตว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น บางช่วงพยายามพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นทุนนิยมมากขึ้นแต่ที่สุดแล้วไม่เกิดขึ้นจริงและส่งผลเสียตามมา เป็นหนี้มากขึ้นแต่การลงทุนภายในประเทศต่ำ รัฐบาลลังเลที่จะเปิดเสรีทางเศรษฐกิจเต็มตัว

            ในช่วงนั้นรัฐบาลใช้ยุทธศาสตร์พัฒนาแบบ “defensive modernisation” คือมุ่งพัฒนาเฉพาะส่วนที่เห็นว่าจำเป็น ทดแทนการนำเข้า หรือจำต้องมีเพื่อความมั่นคงของประเทศ แต่นานวันพบว่าขาดดุลการค้า เป็นหนี้เป็นสิน เนื่องจากระบบราชการใช้งบประมาณเกินจำเป็น นำเข้าสินค้าบางชนิดจากต่างประเทศ นโยบายประชานิยม การคอร์รัปชัน การใช้จ่ายทางทหาร

            รายได้หลักของรัฐบาลอยู่ที่การส่งออกน้ำมัน การช่วยเหลือจากต่างชาติ เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกอ่อนตัวจึงกระทบรายได้ของประเทศอย่างมาก

คนใกล้ชิดอำนาจได้ประโยชน์:

            ซีเรียในยุคพรรคบาธคล้ายหลายประเทศในระบอบอำนาจนิยม ที่ชนชั้นปกครอง กลุ่มคนใกล้ชิดชนชั้นปกครอง เช่น พวกนักธุรกิจใหญ่ เจ้าหน้าที่ระดับสูง ได้รับประโยชน์จากการปกครอง เป็นพวกเสวยสุข เกิดชนชั้นกลางจำนวนหนึ่ง นายทุนจากอำนาจนิยม (ไม่ใช่จากทุนนิยมเสรี)

            นโยบายปฏิรูปรวบกิจการต่างๆ เข้าเป็นของรัฐ ทำลายฐานอำนาจเก่า พร้อมกับสร้างระบบราชการขนาดใหญ่ ครอบครัวที่ใกล้ชิดสนับสนุนพรรคบาธจะมีงานทำ ได้ประโยชน์จากรัฐเต็มที่

            ในปี 1968 พรรคมีสมาชิกสามัญ 10,000 คนและมีสมาชิกแนวร่วมประเภทอื่นๆ รวมกัน 100,000 คนกระจายอยู่ทุกสาขาอาชีพ เป็นรากฐานอำนาจทางสังคมแก่พรรค รัฐบาลใช้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตอบแทนผู้ที่จงรักภักดี ผู้ที่เชื่อฟังยินยอมอยู่ใต้อำนาจ สร้างรัฐที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพารัฐบาล

            นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ งบประมาณที่กระจายสู่ท้องถิ่นอยู่ในการควบคุมจัดการของคนเหล่านี้ ซึ่งมักลงเลยด้วยการคอร์รัปชัน แม้มีตำรวจลับมีเจ้าหน้าที่สอดส่องแต่คนเหล่านี้ร่วมกันกอบโกย การปราบปรามการทุจริตจึงไร้ผล

            ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ถูกกีดกันออกจากผลประโยชน์ชาติ เป็นผู้มีรายน้อย หลายคนว่างงาน อยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐที่ยังได้บางส่วนหรือจากญาติพี่น้อง

            สังคมซีเรียจึงไม่เท่าเทียมแต่โดยรวมแล้วคนส่วนใหญ่ยังทนต่อสภาพที่เป็นอยู่ จำนวนไม่น้อยใช้ชีวิตปกติสุข

ยึดอุดมการณ์พรรคบาธ:

            การปกครองยึดอุดมการณ์พรรคบาธ ส่วนศาสนาให้ยึดถือเป็นวัฒนธรรมตามวิถีชีวิต ระบอบอัสซาดไม่ค่อยเป็นมิตรกับพวกซุนนีบางกลุ่มในประเทศ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความแตกต่างทางศาสนา (ตระกูลอัสซาดเป็นพวกอาละวี สาขาหนึ่งที่แตกแขนงออกจากมุสลิมชีอะห์) แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์พรรคบาธ รัฐจะสนับสนุนพวกนิกายซุนนีตราบเท่าที่อยู่ในกรอบที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ

            ประธานาธิบดีอัสซาดกล่าวว่ารัฐบาลตนเป็นสังคมนิยม ใช้นโยบายดูแลคนยากจน อุดหนุนสินค้าจำเป็น เช่น อาหารของใช้ประจำวัน น้ำมัน การศึกษาเป็นของฟรี แม้จะส่งเสริมภาคเอกชนด้วยแต่ไม่อาจถือว่าเป็นเสรีนิยม เรื่องนี้มักถูกพวกตะวันตกตีความว่าอัสซาดเป็นระบอบอุปถัมภ์ ใช้แนวทางนี้เพื่อควบคุมคนในประเทศให้จงรักภักดี

สร้างชาติเพื่อเผชิญภัยอิสราเอล:

            ความขัดแย้งระหว่างอาหรับกับอิสราเอล การที่อาหรับปราชัยโดยเฉพาะปี 1967 ทำให้รัฐบาลอัสซาดอ้างว่าประเทศกำลังเผชิญภัยคุกคามจากอิสราเอล จำต้องดำเนินนโยบายความมั่นคงเข้มข้น ควบคุมการใช้ทรัพยากรประเทศ

            นักวิชาการบางคนเห็นว่านโยบายสร้างชาติของฮาเฟซ อัลอัสซาด อยู่ในบริบทที่ประเทศกำลังเผชิญหน้าอิสราเอล แต่อีกฝ่ายเห็นว่าเหตุผลคือเพื่อความมั่นคงภายใน เพราะการชูนโยบายต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมและภัยคุกคามต่างชาติมักได้รับการสนับสนุนจากคนในประเทศ บ้างเชื่อว่ารัฐบาลชูนโยบายดังกล่าวเพื่อเบี่ยงเบนเรื่องการกดขี่ชนกลุ่มน้อยในประเทศ ความมั่นคงของชาติกับการดำรงอยู่ของระบอบอัสซาดเป็นเรื่องเดียวกัน

            ข้อควรคิดคือภายใต้ประเด็นความมั่นคงประชาชนได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงใด หรือเป็นเครื่องมือกดขี่ ระบอบอัสซาดควรเป็นส่วนหนึ่งที่ได้จากความมั่งคั่งจากประชาชนอยู่ดีมีสุข มากกว่าที่ประชาชนได้รับเศษความมั่งคั่งจากระบอบ

            ระบอบอัสซาดกลายเป็นระบอบที่ดำเนินต่อเนื่อง แทนที่จะเป็นรัฐบาลชุดต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแสดงเจตนารมย์ของประชาชน

            ภัยคุกคามจากอิสราเอลเป็นเหตุผลที่ใช้ได้ดีในทศวรรษ 1970-80 แล้วเสื่อมคลายลงเรื่อยๆ

แบ่งแยกทางศาสนากับเชื้อสาย:

            ชาวซีเรียส่วนใหญ่เป็นมุสลิมซุนนี ระบอบอัสซาดใช้ความแตกต่างทางศาสนาเป็นประโยชน์ในการปกครอง สร้างกระแสว่าพวกซุนนีต่อต้านนิกายศาสนาอื่นๆ โดยเฉพาะพวกอาละวีซึ่งเป็นนิกายของผู้นำอัสซาด ดังนั้นเมื่ออาละวีมีอำนาจมากกว่าจึงพยายามกดขี่พวกซุนนีที่ไม่จำนนต่อระบอบ

            ในอีกมุม ครอบครัวอัสซาดให้ความสำคัญกับการคงอยู่ของระบอบมากกว่าแรงจูงใจทางศาสนา การใช้เรื่องอาละวีมาจากแรงจูงใจทางการเมืองมากกว่าศาสนา

            สังคมซีเรียเหมือนอาหรับที่ดั้งเดิมอยู่เป็นชนเผ่า คนท้องถิ่นผูกพันกับกลุ่มของตนมากกว่ารัฐบาลกลาง รัฐบาลปกครองด้วยการข่มขู่ควบคู่กับผลประโยชน์ เพื่อควบคุมกลุ่มต่างๆ ให้อยู่ในความเรียบร้อย กลุ่มใดที่ใกล้ชิดสนับสนุนพรรคบาธหรือรัฐบาลกลางจะได้รับการดูแลดีกว่า

            สมัยประธานาธิบดีฮาเฟซ อัลอัสซาดพยายามแบ่งสันปันส่วนให้ทุกกลุ่มได้ประโยชน์ตามสมควร เว้นบางกลุ่มที่ยังขัดขืน ในสมัยนั้นระบบนี้ทำท่าไปได้ดี ข้อเสียคือนานวันเข้าฝ่ายต่อต้านเกิดเป็นกลุ่มเป็นก้อน ที่ห้ามไม่ได้คือการแทรกแซงบ่อนทำลายจากรัฐบาลต่างชาติ

            เมื่อย้อนหลังนับจากสถาปนาเป็นรัฐสมัยใหม่ ข้อหนึ่งที่ชัดเจนคืออำนาจการปกครองเป็นของคนส่วนน้อย คนกลุ่มนี้แหละที่ได้รับประโยชน์ ทิ้งให้ประชาชนจำนวนมากอยู่ตามมีตามเกิด ได้รับประโยชน์บ้างแต่ไร้ความยั่งยืน มีการช่วงชิงอำนาจบริหารประเทศตลอดเวลา อำนาจนี้เปลี่ยนมือไปมา จนมาถึงระบอบอัสซาดที่อยู่ได้ 2 ชั่วคนคือพ่อกับลูก เมื่อคนในชาติกับรัฐบาลต่างชาติร่วมกันล้มรัฐบาลกลายเป็นอาหรับสปริงซีเรีย

22 ธันวาคม 2024
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 29 ฉบับที่ 10264 วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567)

 ------------------

บรรณานุกรม :

1. Erlich, Reese. (2014). Inside Syria: The Backstory of Their Civil War and What the World Can Expect. New York: Prometheus Books.

2. Haddad, Bassam. (2012). Why Syria is Not Next...So Far. In The Dawn of the Arab Uprisings: End of an Old Order? (pp.207-209). London: Pluto Press.

3. Hanano, Amal. (2012). Syrian Hope: A Journal. In The Dawn of the Arab Uprisings: End of an Old Order? (pp.225-236). London: Pluto Press.

4. Hinnebusch, Raymond. (2001). Syria: Revolution From Above. New York: Routledge.

5. Lister, Charles R. (2015). The Syrian Jihad: Al-Qaeda, the Islamic State and the Evolution of an Insurgency. New York: Oxford University Press.

6. President al-Assad in an interview with Russian RT-UK TV Channel: In spite of all aggression, majority of Syrian people support their Government, Russia helps Syria as terrorism and its ideology have no borders. (2019, November 11). SANA. Retrieved from https://www.sana.sy/en/?p=178031

7. Tripp, Charles. (2013). The Power and the People: Paths of Resistance in the Middle East. New York: Cambridge University Press.

-----------------