แนวทางสู่โลกแห่งสันติ
ประวัติศาสตร์โลกเต็มด้วยสงคราม ศาสนาไม่สอนให้ทำชั่วแต่ชี้ว่าสงครามคือส่วนหนึ่งของมนุษย์ บทบาทของความเชื่อคือช่วยยับยั้งชั่งใจ หากใช้ร่วมกับหลักวิชาอื่นจะช่วยสร้างสันติได้มากขึ้น
กรอบการนำเสนอในที่นี้เน้นสันติภาพโลกที่พูดถึงความขัดแย้งระหว่างรัฐหรือระหว่างประเทศ
สัมพันธ์กับวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations) ไม่ใช่สันติภาพปัจเจก สันติสุขในส่วนลึกของจิต (inner peace) ดังนั้น สันติภาพโลกในที่นี้จึงเน้นโลกที่ประเทศอยู่ด้วยกันอย่างสงบ
เป็นมิตรต่อกัน
ประวัติศาสตร์โลกเต็มด้วยสงคราม:
ถ้าสำรวจประวัติศาสตร์โลกย้อนหลัง
3-5 พันปี จะพบว่าโลกเต็มด้วยสงคราม อาจเป็นสงครามระหว่างนครรัฐ
ระหว่างอาณาจักรหรือระหว่างประเทศ
สงครามเกิดในทุกทวีปไม่ว่าจะเอเชีย แอฟริกาหรือทวีปอเมริกา
เกิดกับชนทุกเชื้อชาติทุกสีผิว กล่าวได้สงครามเป็นส่วนหนึ่งของตำราประวัติศาสตร์
อายธรรมหนึ่งเกิดขึ้น เจริญรุ่งเรือง ล่มสลาย
ไม่แปลกที่อารยธรรมทำสงครามขยายความยิ่งใหญ่หรือปกป้องตัวเอง
ตำราตะวันตกให้ความสำคัญกับกษัตริย์ผู้ปกครอง
บรรยายเรื่องสำคัญที่พระองค์ทำ หนึ่งในนั้นคือการศึกสงคราม
บางตำรายกย่องกษัตริย์นักรบ เช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์กรีกผู้ชนะศึกยึดครองดินแดนมากมายตั้งแต่ยุโรปจนถึงชมพูทวีปด้วยวัยเพียง
33 ปี เจงกิส ข่านรวบรวมชนเผ่ามองโกล สร้างอาณาจักรมองโกลพิชิตจีน
อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ ไกลไปจนถึงยุโรป ทุกวันนี้คนมองโกลยังคิดถึงท่าน
อยากให้มองโกลกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
มองประวัติศาสตร์ใกล้ตัว
ดินแดนสุวรรณภูมิหรือที่ตั้งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประวัติศาสตร์ 2
พันปีของสุวรรณภูมิเคยเป็นที่ตั้งของหลายนครรัฐ หลายอาณาจักร
จนมาถึงสมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ มีสงครามรบพุ่งเป็นระยะ
เฉพาะรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยในสมัยนั้นต้องรบกับพม่า ลาว เขมร
เวียดนามและทางภาคใต้ของไทย กล่าวได้ว่าสุวรรณภูมิเป็นดินแดนที่มีการศึกสงครามไม่ต่างจากที่อื่น
ดังนั้น ประวัติศาสตร์โลกไม่ว่าจะใกล้หรือไกลจึงเต็มด้วยสงคราม
ศาสนาสามารถสร้างสันติภาพได้หรือไม่:
ถามว่าเมื่อ
3-5 พันปีที่แล้วมีศาสนาความเชื่อ
หรือสิ่งที่พอเทียบเคียงกับศาสนาความเชื่อหรือไม่ คำตอบคือมีและมีมากมาย
ตั้งแต่ภูตผี เทพเจ้าระดับหมู่บ้าน ระดับชนเผ่า ระดับเมือง
บางท้องถิ่นเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่าหนึ่งองค์ ยกเว้นความเชื่อที่เป็นเอกเทวนิยม
(Monotheism) ที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว
บางศาสนาลัทธิเน้นความสำคัญของคำสอน เช่น เล่าจื๊อ เม่งจื๊อ แสวงหาสัจธรรม
เนื่องจากในที่นี้วางธงตั้งแต่ต้นว่าต้องการสันติภาพโลกที่ปราศจากสงคราม
อยู่ร่วมกันอย่างสันติ คำถามจึงมีอยู่ว่าย้อนทบทวนประวัติศาสตร์โลก 3-5 พันปี
ศาสนาความเชื่อสามารถสร้างสันติภาพได้หรือไม่ คำตอบคือได้บางเวลาบางพื้นที่แต่โดยรวมแล้วประวัติศาสตร์ให้ข้อสรุปแล้วว่าโลกเต็มด้วยสงคราม
เป็นเช่นนี้เรื่อยมา
ถ้าเข้าใจลึกซึ้งขึ้น
บางศาสนาความเชื่อบรรยายเรื่องสงคราม โลกมนุษย์ที่อยู่คู่สงคราม
(บางศาสนามีสงครามระหว่างเทพ ระหว่างสวรรค์กับนรกด้วย) บางศาสนาสอนกฎการทำสงคราม
การจัดการเชลยศึก ศาสนาไม่สอนให้ทำชั่วแต่ชี้ว่าสงครามคือส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นกฎแห่งกรรมหรือแผนการพระเจ้าที่จะกวาดล้างความอสัตยอธรรม
หรือนำเสนอความเป็นไปของโลกมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ
มนุษย์มีแนวโน้มทำร้ายกัน
ดังนั้นคำสอนบางศาสนาความเชื่อมีเรื่องการทำสงครามด้วย
เป็นการดีที่โลกปราศจากสงคราม
ส่วนสันติภาพแท้เป็นเรื่องความดีความบริสุทธิ์ที่มุ่งเน้นสภาพนิรันดร์
เป็นสันติสุขถาวร หรือเป็นทางแห่งการดับทุกข์ ดังนั้นต้องจับหลักว่าในที่นี้เน้นสันติภาพโลก
ณ เวลาปัจจุบัน มากกว่าเน้นโลกหน้าหรือการหลุดพ้น
อาเซียนตัวแบบการอยู่ร่วมโดยสันติ:
อาเซียนเป็นแบบอย่างสันติภาพระดับภูมิภาคที่น่าชมเชย
ดังที่นำเสนอแล้วว่าก่อนหน้าอาเซียน รัตนโกสินทร์ตอนต้นไทยทำสงครามรอบทิศ
สงครามอินโดจีน สงครามเวียดนามเป็นที่เลื่องลือในสมัยสงครามเย็น สถานการณ์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงจุดเปลี่ยนเมื่อสงครามเย็นยุติ อาเซียนรับเวียดนาม
กัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมาเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียน นับจากนั้นเป็นต้นมาไม่มีสงครามระหว่างชาติสมาชิกอาเซียนทั้ง
10 ประเทศอีกเลย
การเข้าร่วมของเวียดนามเมื่อปี 1995
ถือเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ประเทศแรกที่เข้าร่วมอาเซียน ณ
เวลานั้นถือเป็นเรื่องแปลกใหม่เพราะอาเซียนยอมรับประเทศที่มีระบอบการปกครอง
มีระบบเศรษฐกิจแตกต่างจากประเทศชาติสมาชิกอาเซียนโดยสิ้นเชิง
เกิดคำถามวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุผลการรับเวียดนามหรือทำไมเวียดนามจึงอยากเข้ามาร่วมอาเซียน
มีผู้อธิบายด้วยเหตุผลหลากหลาย
ทุกวันนี้ปัญหาเขตแดนระหว่างชาติสมาชิกยังมีอยู่ในหลายพื้นที่
การเจรจาแก้ไขยังทำงาน และอยู่ร่วมกันได้ทั้งที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ตีความว่าส่วนที่แก้ได้ก็แก้ไปแล้ว
ส่วนที่บริหารจัดการได้ก็ทำไป ส่วนที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ก็ทิ้งไว้อย่างนั้น
รอเจรจาหาทางออกต่อไป
อาเซียนเลือกที่จะบริหารจัดการความขัดแย้ง
ปัญหายังอยู่แต่ทุกฝ่ายอยู่ได้ ไม่เป็นเหตุขยายความขัดแย้งให้ลุกลามใหญ่โต
(จนเป็นเหตุให้ต่างชาติแทรกแซง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย)
อาจอธิบายว่าอาเซียนคือชุมชน
ถ้าคนหนึ่งลำบากจะกระทบคนอื่นๆ ดังนั้นต้องช่วยให้ทุกคนอยู่ได้ตามอัตภาพ
ผลคือชุมชนเข้มแข็ง
ความสำเร็จในอดีตของวิถีอาเซียนยิ่งทำให้แนวทางนี้แข็งแกร่ง
ทุกชาติสมาชิกเห็นพ้องต้องกันว่าจะยึดแนวทางดังกล่าว
เกือบ 6 ทศวรรษแล้วที่พวกเขาอยู่ร่วมกันได้
แม้มีข้อขัดแย้งบ้างแต่สามารถแก้ไขหรือบรรเทาไม่ให้บานปลาย ทั้ง 10 ประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านจึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบ
ต่างเร่งพัฒนาตนเอง ทุ่มเททรัพยากรให้กับประชาชนตัวเอง
เป็นประโยชน์ที่ชัดเจนของการมีอาเซียน และองค์การนี้กำลังพัฒนาต่อไป
เผชิญความท้าทายใหม่ในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง
ใช้ความเชื่อร่วมกับความรู้แขนงอื่น:
เป็นความจริงที่น่าเศร้าว่าประวัติศาสตร์โลกเต็มด้วยสงคราม
ศาสนาความเชื่อไม่สามารถห้ามสงครามได้ทั้งหมด บทบาทของศวามเชื่อคือช่วยยับยั้งชั่งใจ
ทำสงครามในกรอบที่ศาสนาอนุญาต
---------------------