คนอเมริกันเกือบครึ่งอยากได้ประธานาธิบดีจากพรรคที่ 3
แทนที่จะสนใจผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันหรือพรรคเดโมแครทดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา คนอเมริกันเกือบครึ่งกลับสนใจผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคที่ 3 สะท้อนความเบื่อหน่ายการเมืองแบบเดิมๆ
กระแสไม่เลือกทั้งไบเดนกับทรัมป์ :
เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
2024 กำลังอยู่ในกระบวนการ 2 พรรคใหญ่อยู่ในขั้นตอนเฟ้นหาตัวแทนพรรคลงชิงชัยตำแหน่งผู้นำประเทศ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนยืนยันขอลงเลือกตั้งหวังเป็นผู้นำประเทศต่ออีกสมัย
ทำนองเดียวกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขอสู้ศึกอีกครั้ง
พร้อมกับผู้สมัครอื่นๆ อีกหลายคน ผลการสำรวจของ Quinnipiac University Poll ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่าคนอเมริกัน 47% ไม่เอาทั้งไบเดนกับทรัมป์
ไม่เอาผู้สมัครใดๆ ที่มาจาก 2 พรรคใหญ่ กลับสนใจพรรคทางเลือกที่
3 (a third-party candidate) ซึ่งในการเมืองอเมริกาหมายถึงพรรคการเมืองเล็กๆ
หรือผู้สมัครอิสระที่ไม่อยู่ในสายตาสื่อที่ไม่น่าจะชนะเลือกตั้งได้เลย เป็นปรากฎการณ์ตอกย้ำซ้ำรอยความจริงที่ว่าคนอเมริกันเบื่อหน่ายการเมือง
ไม่คิดว่าพรรคเดโมแครทหรือรีพับลิกันเป็นทางออกของชาติ
เมื่อเจาะลึกลงรายละเอียด
64% ของผู้เลือกตั้งอิสระ (ไม่สังกัด 2 พรรคใหญ่) คิดว่าจะเทคะแนนให้พรรคทางเลือกที่ 3 ในขณะที่ 61% จากพวกเดโมแครทและ 57% จากพวกรีพับลิกันยังสนใจผู้สมัครจากพรรคตนดังเดิม
ชี้ว่าคนอเมริกันที่ไม่สังกัดพรรคมีแนวโน้มเลือกพรรคเล็กหรือผู้มัครอิสระ
ส่วนพวกสังกัดพรรคยังนิยมเลือกตัวแทนจากพรรค
ถ้ามองเฉพาะในกรอบพรรค
น่าสนใจที่ 71% ของพวกเดโมแครทจะเลือกไบเดน ตามมาด้วย Robert
F. Kennedy Jr ลำดับ 2 ได้เสียงสนับสนุน 14%
ส่วนรีพับลิกัน ไม่ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะโดนกี่คดี
มีเรื่องอื้อฉาวมากเพียงไร พวกรีพับลิกันส่วนใหญ่ยังเทคะแนนให้อย่างเหนียวแน่น
ทรัมป์ได้เสียงสนับสนุน 54% ชนะลำดับที่ 2 รอน เดอซานติส (Ron DeSantis) ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาอย่างขาดลอย
(ได้เสียงสนับสนุน 25% ราวครึ่งหนึ่งของทรัมป์) ส่วนผู้สมัครท่านอื่นๆ
ได้คะแนนคนละไม่กี่เปอร์เซ็นต์
ตามผลสำรวจนี้ ถ้ายึดกรอบพรรคใหญ่การเลือกตั้งรอบหน้ายังเป็นการแข่งขันระหว่างไบเดนกับทรัมป์เหมือนเลือกตั้งรอบก่อน
ถ้าเลือกวันนี้ไบเดนน่าจะชนะทรัมป์ด้วยคะแนน 49 ต่อ
44
ประเด็นที่คนอเมริกันให้ความสำคัญมากที่สุด :
Quinnipiac
University Poll เผยว่า 31% ให้ความสำคัญเศรษฐกิจมากที่สุด
รองลงมา 29% ตอบว่ารักษาความเป็นประชาธิปไตยประเทศ 7%
ให้ความสำคัญกับเรื่องการทำแท้งกับเรื่องปืน (ได้คะแนนใกล้เคียง)
ตามมาด้วยต่างด้าวอพยพเข้าเมือง เรื่องสุขภาพ ความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ
และการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ
ถ้าดูคะแนนตามการสังกัดพรรค 51% ของพวกรีพับลิกันชี้ว่าเศรษฐกิจสำคัญที่สุด
22% ให้ความสำคัญกับการรักษาประชาธิปไตย 13% คือเรื่องต่างด้าวอพยพเข้าเมือง 34 % ของพวกเดโมแครทชี้ว่าเศรษฐกิจสำคัญที่สุด
ตามมาด้วย 30% ให้ความสำคัญกับการรักษาประชาธิปไตย
เรื่องปากท้องมาลำดับแรกเป็นเรื่องปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง
ที่น่าสนใจคือ “รักษาความเป็นประชาธิปไตยประเทศ” มาเป็นลำดับ 2 ห่างลำดับแรกเพียง 2% (คะแนนรวมทั้งหมด) สอดคล้องกับผลสำรวจอื่นๆ
เมื่อไม่นานนี้ที่คนอเมริกันส่วนใหญ่เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยของตนกำลังวิกฤต
ยกตัวอย่าง
ผลวิจัยเมื่อมิถุนายน 2023 ของ Associated Press-NORC
Center for Public Affairs Research เผย คนอเมริกันครึ่งหนึ่งไม่เชื่อมั่นการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย
(อุดมการณ์ประชาธิปไตยดีแต่ผลทางปฏิบัติไม่ดีตามทฤษฎี) แยกเป็นพวกเดโมแครท 47%
บอกว่าแย่ ส่วนรีพับลิกัน 56% ตอบว่าแย่ คิดว่าพวกพรรคการเมือง ศาลฎีกา
ประธานาธิบดี รัฐบาลไม่ยึดมั่นประชาธิปไตย ส่วนใหญ่จอมปลอมมากกว่า ไม่ตั้งใจทำเพื่อประชาชนจริง
ส่วนใหญ่คิดว่า กฎหมายกับนโยบายรัฐบาลไม่เป็นไปตามที่ประชาชนต้องการ ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ
นโยบายควบคุมปืน ประเด็นผู้อพยพเข้าเมืองจนถึงการทำแท้ง
อย่างไรก็ตามอีกครึ่งหนึ่ง
(49%) เห็นว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยยังทำงานได้ดี (ในจำนวนนี้มีเพียง
10% เท่านั้นที่คิดว่าดีเยี่ยมดีมาก อีก 40% บอกว่าพอใช้) รวมความแล้วมุมมองคนอเมริกันต่อประชาธิปไตยยังคงเดิมไม่ต่างจากผลสำรวจครั้งก่อนๆ
30% ของพวกเดโมแครทให้ความสำคัญกับการรักษาประชาธิปไตย สอดคล้องกับ Associated
Press-NORC ที่ 8 ใน 10
ของพวกเดโมแครทฟันธงว่าพรรครีพับลิกันไม่ยึดมั่นหลักประชาธิปไตย ประธานาธิบดีไบเดนตีตราว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์
ทรัมป์เป็นพวกกึ่งเผด็จการ (semi-fascism) เป็นพวกสุดโต่ง (extremist)
รวมถึง สส. สว. บางคนด้วย
อันที่จริง
ไม่ง่ายที่จะฟันธงว่ารีพับลิกันเป็น “พรรคเผด็จการ” หรือ “พรรคประชาธิปไตย”
ไม่น่าจะถูกต้องหากใช้ความคิดเห็นคนอเมริกันจากบางงานวิจัยแล้วสรุปว่าเป็นเช่นนั้นและพรรครีพับลิกันไม่ยอมรับ
ที่ตอบได้คือความไม่เป็นเสรีประชาธิปไตยสะท้อนผ่านบางนโยบาย ผ่านพฤติกรรมของ สส.
สว. บางคน รวมทั้งอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะนโยบายสหรัฐแต่ไหนแต่ไรก็เป็นเช่นนี้
มีลักษณะ 2 มาตรฐาน ทำนองเดียวกับผู้นำประเทศบางคน
เพียงแต่ทรัมป์ดูชัดเจนเพราะท่านกล้าแสดงออก พูดตรงไปตรงมา
บางเรื่องให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าความเป็นประชาธิปไตย
รวมความแล้วผลสำรวจของ Quinnipiac University Poll
กับ Associated Press-NORC ตอกย้ำความไม่พอใจต่อระบอบประชาธิปไตยแบบอเมริกาจากคนอเมริกัน
ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐพยายามชูธงการปกครองของตนและชี้ว่าตนเป็นผู้นำโลกเสรี
ส่งออกประชาธิปไตย
การเมืองแบบพายเรือในอ่าง :
แม้คนอเมริกันเกือบครึ่งสนใจทางเลือกที่ 3 แต่เท่านี้ไม่พอ
เพราะต้องระบุว่าทางเลือกที่ 3 นี้คือใครซึ่งผลสำรวจไม่มีข้อมูลนี้
และยังไม่ปรากฏผู้ใดโดดเด่นอยู่ในความสนใจ
จึงตีความได้ว่าเป็นความคิดเบื่อหน่ายนักการเมือง พรรคการเมืองเดิมๆ
โดยไม่รู้ว่าจะเลือกใครแทน
ประการแรก
ผู้สมัครอิสระหรือพรรคเล็กยากจะชนะ
ความจริงแล้วอเมริกามีพรรคการเมืองมากกว่า 2 พรรคและสามารถลงเป็นผู้สมัครอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองด้วย
แต่เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์ การเลือกตั้งเมื่อปี 1968 ผู้สมัคร
George Wallace ในนามพรรค American Independent ได้คะแนน elector votes 46 คะแนน เป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายที่พรรคที่
3 ได้คะแนนมากถึงขนาดนั้น (ซึ่งไม่ชนะอยู่ดี) ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีตกอยู่กับ
2 พรรคใหญ่ ทุกวันนี้ผู้มีสิทธิ์จะไม่เลือกผู้สมัครหรือพรรคที่ได้คะแนนน้อย
เมื่อผนวกกับระบบ 2 พรรค สุดท้ายชาวอเมริกันมักจะลงคะแนนให้ตัวแทนจาก 1 ใน 2 พรรคใหญ่
ผู้สมัครอิสระหรือพรรคเล็กจึงไม่ได้รับความนิยม เป็นแค่ไม้ประดับมากกว่า
ประการที่
2 ประธานาธิบดีจากพรรคที่ 3 บริหารประเทศไม่ได้
ถ้าวิเคราะห์ลงลึกประธานาธิบดีจากพรรคที่
3 แบบข้ามาคนเดียวบริหารประเทศไม่ได้ เพราะ สส. สว. เป็นของ 2 พรรคใหญ่ ควบคุมกลไกการบริหารประเทศไว้ทั้งหมด
ยกเว้นบางเขตเลือกตั้ง บางชุมชนที่ผู้สมัครพรรคเล็กชนะเลือกตั้ง ดังนั้นแม้ประธานาธิบดีสามารถใช้อำนาจของตนตามกรอบรัฐธรรมนูญ
(อำนาจฝ่ายบริหาร) แต่หากจะออกฎหมายใดๆ จะต้องใช้เสียงจากรัฐสภา รวมทั้งกฎหมายงบประมาณ
ดังนั้นนโยบายสำคัญๆ สุดท้ายจะต้องผ่านความเห็นชอบจาก 2 พรรคใหญ่ก่อน
ประธานาธิบดีแม้ดูเหมือนมีอำนาจมากแต่ในทางปฏิบัติอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐสภา
ประการที่
3 การเมืองที่ไม่มีทางออก
สำหรับคนอเมริกันเกือบครึ่งที่ไม่อยากเลือกพรรคใหญ่
ที่เห็นว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีไม่ใช่คำตอบ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการ แต่คาดว่าในที่สุดพวกเขาน่าจะลงคะแนนให้กับ
‘the lesser of the two evils’ หรือ “คนที่แย่น้อยกว่า”
ตามเคย คนถูกผลักดันให้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกคนที่แย่น้อยกว่าโดยที่ไม่ชอบทั้งคู่
หวังสกัดไม่ให้คนที่แย่ที่สุดชนะเลือกตั้ง สอดคล้องกับการหาเสียงแบบสาดโคลนที่ต่างฝ่ายต่างพยายามชี้ว่าอีกฝ่าย
“แย่” เพียงไร
ประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญการเลือกตั้งสูงสุดจึงทำได้เพียงมองหาตัวเลือกที่แย่น้อยกว่า
ต้องฝากอนาคตชาติบ้านเมือง อนาคตตัวเองกับลูกหลานไว้กับคนที่ “แย่น้อยกว่า” ผู้คนไปเลือกตั้งตามพิธีกรรมที่กำหนด
เพื่อให้ใครบางคนขึ้นมากุมอำนาจประเทศ เป็นคำถามว่าระบอบประชาธิปไตยควรมีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรือไม่
คนอเมริกันควรยอมรับสภาพเช่นนี้อีกนานเพียงไร หรือว่าประชาธิปไตยอเมริกันให้ได้เพียงเท่านี้
เรื่องนี้สังคมถกกันมากถกกันเรื่อยมาแต่ยังเป็นการเมืองแบบพายเรือในอ่าง
ล่าสุดยังเป็นการแข่งขันระหว่างไบเดนกับทรัมป์ การเมืองอเมริกันยังคงวนเวียนเหมือนเดิมต่อไป
------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ไบเดนหาเสียงชี้ทรัมป์เป็นพวกสุดโต่ง
ไบเดนชี้ว่าทรัมป์กับพวกเป็นพวกสุดโต่งสร้างความแตกแยก ไม่เป็นประชาธิปไตย สิ่งที่ไบเดนกำลังทำคือตอกย้ำแบ่งแยกคนอเมริกันเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายประชาธิปไตยกับพวกสุดโต่ง
1. Bardes, Barbara A., Shelley, Mack C.,
& Schmidt, Steffen W. (2012). American Government and Politics
Today: Essentials (2011 - 2012 Ed.). USA: Wadsworth, Cengage Learning.
2. Bessette, Joseph M., Pitney, John J. Jr. (2011). American
Government and Politics: Deliberation, Democracy and Citizenship. USA:
Wadsworth.
3. Miroff, Bruce., Seidelman, Raymond., Swanstrom,Todd.,
& De Luca, Tom. (2010). The Democratic Debate:
American Politics in an Age of Change (5th Ed.). USA:
Wadsworth.
4. Quinnipiac University Poll. (2023, July 19). Nearly Half
Of Voters Would Consider A Third-Party Presidential Candidate In 2024,
Quinnipiac University National Poll Finds; Majority Expect Climate Change To
Negatively Affect World In Their Lifetime. Retrieved from
https://poll.qu.edu/poll-release?releaseid=3876