เส้นประ 9 เส้น VS ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก
ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกคือยุทธศาสตร์ปัจจุบันที่รัฐบาลสหรัฐใช้ขวางเส้นประ 9 เส้นของจีน เป็นการเผชิญหน้าระหว่าง 2 มหาอำนาจโดยตรงและกำลังทวีความรุนแรง
กระแสข่าวการระดมกำลังของสหรัฐ การซ้อมรบของกองเรือที่
7 ประจำมหาสมุทรแปซิฟิก การประกาศซ้อมรบเพิ่มเติมของจีนกำลังย้ายกรอบจากเรื่องไต้หวันสู่ทะเลจีนใต้
การอ้างความเป็นเจ้าของผ่าน “เส้นประ 9 เส้น” ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐที่ขวางการอ้างความเป็นเจ้าของจากจีน
เป็นการเผชิญหน้าระหว่าง 2 มหาอำนาจโดยตรง
อะไรคือ “เส้นประ 9 เส้น” :
จุดเริ่มต้นของเส้นประ 9 เส้น (nine-dash line)
เริ่มปรากฏบนแผนที่จีนครั้งแรกเมื่อค.ศ. 1922 ในสมัยนั้นเป็นเส้นทึบ ปี 1936
ปรากฏบนแผนที่ของประเทศสาธารณรัฐจีน (Republic of China - ไต้หวัน)
แสดงอาณาเขตทางทะเลที่สาธารณรัฐจีนอ้างความเป็นเจ้าของ และอีกครั้งเมื่อปี 1948
ปรากฏเป็น “เส้นประ 11 เส้น” ตามแผนที่ของสาธารณรัฐจีน
ประเด็นสำคัญที่ต้องยึดให้มั่นคือรัฐบาลพรรคชาตินิยมหรือก๊กมินตั๋ง
(Kuomintang: KMT) ที่สหรัฐให้การสนับสนุนเป็นผู้จัดทำแผนที่จีนที่มีเส้นประ 9 เส้น
ดังนั้น ทุกครั้งที่พูดว่าจีนอ้างความเป็นเจ้าของต้องพูดต่อว่ารัฐบาลจีนคณะชาติ
(ไต้หวันปัจจุบัน) ประกาศความเป็นเจ้าของตั้งแต่ค.ศ.1922 แล้ว ในตอนนั้นสาธารณรัฐประชาชนจีนยังไม่เกิด
(ประเทศจีนปัจจุบันสถาปนาเมื่อตุลาคม 1949)
รัฐบาลจีนเป็นผู้มารับช่วงต่อ
มุมมองต่อต้าน
“เส้นประ 9 เส้น”
ประการแรก พื้นที่ทับซ้อนหลายประเทศ
เส้นประ 9 เส้นกินอาณาเขตราว 90%
ของทะเลจีนใต้ ทับซ้อนน่านน้ำ เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone: EEZ)
ของหลายประเทศ ประเทศคู่ขัดแย้งมักไม่ยอมรับเส้นประ 9 เส้น เช่น อินโดนีเซีย
เวียดนาม ฟิลิปปินส์ประกาศไม่ยอมรับ เกิดข้อพิพาทเรื่อยมา
จีนระวังไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายแต่ขึ้นกับว่าใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลด้วย
เช่น สมัยรัฐบาลเบนิกโน อากีโนที่ 3 (Benigno
Aquino 3) ดำเนินนโยบายใกล้ชิดสหรัฐ ขัดแย้งจีนอย่างรุนแรง เปรียบรัฐบาลจีนเป็นฮิตเลอร์
ก่อนที่สถานการณ์ดีขึ้นในรัฐบาลโรดริโก ดูเตร์เต (Rodrigo Duterte)
ความตึงเครียดจึงพร้อมจะปะทุได้อีกขึ้นกับว่าต้องการทำให้เป็นประเด็นหรือไม่
ต้องการทำให้ร้อนแรงเพียงใด
ประการที่ 2 ภัยคุกคามจากจีน
มกราคม 2019 โอริตะ คูนิโอะ (Orita
Kunio) อดีตผู้บัญชาการกองทัพอากาศญี่ปุ่น ฝ่ายสนับสนุนทางอากาศ (Air
Support Commander) อาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยแสดงความคิดเห็นว่าจีนกำลังเป็นภัยคุกคามร้ายแรง
เพราะมียุทธศาสตร์แผ่ขยายอำนาจ ต้องการเป็นเจ้าในภูมิภาคเพียงผู้เดียว
คาดว่าจีนจะผนวกไต้หวันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศช่วงปี 2020-2025
ปีที่แล้ว (2021) พลเรือเอกฟิล เดวิดสัน (Phil Davidson) ผู้บัญชาการ IndoPacific
Command กล่าวต่อวุฒิสภาสหรัฐว่าไม่เกินปี 2027 จีนจะโจมตีไต้หวัน
คูนิโอะอธิบายว่าหลังจากยึดไต้หวันจีนจะเข้าควบคุมทะเลจีนใต้ให้ได้ภายในปี
2040 ถ้าจีนสามารถสกัดสหรัฐออกจากทะเลจีนใต้ ควบคุมเส้นทางเดินเรือจะสามารถตัดเส้นทางลำเลียงอาหาร
พลังงานที่ญี่ปุ่นต้องการ
ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นขณะนั้นกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า
“น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และอาหารจากต่างชาติเป็นประโยชน์สำคัญยิ่งของญี่ปุ่น
ส่งผลต่อความปลอดภัยและการดำรงอยู่ของญี่ปุ่นอย่างร้ายแรงถ้าถูกตัดขาด”
การสร้างเกาะเทียม การตั้งฐานทัพ สนามบิน
ท่าเรือบนเกาะต่างๆ ทำให้จีนเป็นฝ่ายได้เปรียบเมื่อเทียบกับกองเรือของสหรัฐกับพวก
แนวคิดการบุกยึดไต้หวันกับการแสดงความเป็นเจ้าของทะเลจีนใต้เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันโดยตรง
รัฐบาลจีนชี้ว่า ‘ของจีนคือของจีน’
ประการที่ 3 รัฐบาลไบเดนเดินหน้าชน
พฤษภาคม 2022 ประธานาธิบดีโจ
ไบเดนประกาศจัดตั้งกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) เพื่อต้านอิทธิพลเศรษฐกิจจีนในภูมิภาคนี้ กล่าวว่า
"อนาคตทางเศรษฐกิจของศตวรรษที่ 21 จะถูกเขียนโดยภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก"
และ "เรากำลังเขียนกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่"
ในเบื้องต้นประเทศที่เข้าร่วมได้แก่ สหรัฐ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
นิวซีแลนด์ อินเดีย และ 7 ชาติอาเซียนคือ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย บรูไน
อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม รวมทั้งหมด 13 ประเทศ
การจัดตั้ง IPEF เป็นแผนรูปธรรมว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังสร้างกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกที่ตนเป็นผู้นำ
เป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่อิงการเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐจะเน้นลงทุนค้าขายกับพวกเดียวกันเท่านั้น
(สวนทางหลักการค้าเสรี)
ในกรอบที่ใหญ่ขึ้นจะเห็นว่ารัฐบาลสหรัฐกับพวกกำลังพูดเป็นนัยว่าโลกต้องตัดสินเลือกระหว่างการเป็นพันธมิตรขั้วสหรัฐหรือจีน
การต่อต้านจีนคือต่อต้านยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่หรือความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
(One Belt, One Road) พิทักษ์เสรีภาพ ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
บรรทัดสุดท้ายจะพยายามชี้ว่านี่คือการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับอำนาจนิยม
โลกกำลังแบ่งขั้วเป็น 2 ฝ่าย
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
ประการแรก จีนผิดกฎหมายแต่สหรัฐไม่ยอมรับกฎหมาย
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (United
Nations Convention on the Law of the Sea: UNCLOS) ฉบับปี 1982 ให้สิทธิ์ประเทศที่มีชายฝั่งทะเลสามารถขยายเขตเศรษฐกิจจำเพาะ
(EEZ) ออกได้อีก 200 ไมล์ทะเล ประเทศส่วนใหญ่เป็นภาคีหรือลงนามรับกฎหมายดังกล่าว
(157 ประเทศ) รวมทั้งจีน แต่ สหรัฐไม่ยอมรับ UNCLOS เนื่องจากเห็นว่าเป็นการจำกัดสิทธิ์ของตนและทำให้องค์กรระหว่างประเทศสามารถควบคุม
ขัดขวางผลประโยชน์สหรัฐ
เส้นประ 9 เส้นไม่เข้ากับ UNCLOS แต่เป็นเรื่องตลกหากรัฐบาลสหรัฐเล่นงานจีนโดยอ้างกฎหมายนี้เพราะตัวเองไม่ยอมรับกฎหมายดังกล่าว
รัฐบาลสหรัฐพูดเสมอว่าต้องการสร้างระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาน่าสงสัยว่าหมายถึงอย่างไรกันแน่
ประการที่ 2
ผู้ควบคุมทะเลจีนใต้คือผู้เป็นเจ้าในภูมิภาค
เป็นที่รับรู้กันว่าผู้ควบคุมทะเลจีนใต้คือผู้เป็นเจ้าในภูมิภาค
การที่จีนอ้างความเป็นเจ้าของมีผลควบคุมทะเลจีนใต้ แม้ยังยินดีให้เรือกับเครื่องบินทุกประเทศแล่นผ่านตามกฎกติกาที่จีนกำหนด
แต่หมายความว่าจีนอาจกีดกันหรือปฏิเสธเรือบางประเทศที่เป็นปรปักษ์อย่างญี่ปุ่น
สหรัฐ ฯลฯ
ถ้าจีนทำเช่นนี้ได้จริง
เป็นไปได้ว่าหลายประเทศในภูมิภาคจะหันเข้าหาจีนมากขึ้นเพราะจำต้องใช้เส้นทางเหล่านั้น
(เหตุผลทางเศรษฐกิจ) และยอมรับความเป็นเจ้าของจีนในย่านนี้
(เหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ) ในอีกด้านจะหมายถึงสหรัฐกับญี่ปุ่นสูญเสียพันธมิตรย่านนี้
หลายประเทศจะตีตัวออกห่าง นี่คือประเด็นที่ฝ่ายสหรัฐกังวล
ประการที่ 3 การประลองกำลังระหว่างจีนกับขั้วสหรัฐ
ทุกวันนี้มีการหยั่งเชิง ประลองกำลัง ระหว่างกองทัพจีนกับขั้วสหรัฐอยู่แล้ว
วันใดที่สหรัฐถอนตัวออกจากพื้นที่เท่ากับยอมแพ้หรือยอมให้จีนเป็นเจ้าในภูมิภาค
เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ชี้ว่าจีนเป็นมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวในภูมิภาค และหมายความว่าสหรัฐสูญเสียการเป็นเจ้าผู้ครองโลก
การเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐต่อความเป็นเจ้าของทะเลจีนใต้ไม่ใช่เรื่องใหม่
สามารถอธิบายว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นพัฒนาการที่ต่อเนื่องจากอดีต เมื่อกองทัพจีนเข้มแข็งขึ้น
มีความพร้อมด้านต่างๆ มากขึ้นจึงแสดงความเป็นเจ้าของมากขึ้น ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกคือยุทธศาสตร์ปัจจุบันที่รัฐบาลสหรัฐใช้เพื่อขวางจีน
เส้นประ 9 เส้นที่ไม่สอดคล้องกฎหมายระหว่างประเทศ หลายชาติไม่ยอมรับทำให้ปมขัดแย้งคงอยู่และน่าจะเป็นเช่นนี้อีกนาน
เป็นอีกเวทีความขัดแย้งสำคัญระหว่างมหาอำนาจที่สัมพันธ์กับประเทศรอบข้างทั้งหมดไม่ว่าจะทางตรงทางอ้อม
1. China plans to take Taiwan
by 2025, Okinawa by 2045: Fmr Japan Air Force Commander. (2019, January 15). Taiwan
News. Retrieved from https://www.taiwannews.com.tw/en/news/3617624
2. Critics: What defines the
conditions for military force? (2014, July 1). The Japan Times. Retrieved from
http://www.japantimes.co.jp/news/2014/07/01/national/politics-diplomacy/critics-restraints-overly-ambiguous/#.U7PEuZSSzck
3. Cole, Bernard D. (2016). China's
Quest for Great Power: Ships, Oil, and Foreign Policy. USA: Naval Institute
Press.
4. Denoon, David. (2021). China’s grand strategy: a roadmap to global
power? New York: New York
University.
5. Jakarta rejects China's
'nine-dash line'. (2014, April 14). Asia Times. Retrieved from
http://www.atimes.com/atimes/Southeast_Asia/SEA-01-030414.html
6. Philippine Leader Sounds
Alarm on China. (2014, February 5). The New York Times. Retrieved from
http://www.nytimes.com/2014/02/05/world/asia/philippine-leader-urges-international-help-in-resisting-chinas-sea-claims.html?_r=0
7. Ponnudurai, Parameswaran.
(2014, February 9). US Draws Own Line Over South China Sea Dispute.
Retrieved from http://www.rfa.org/english/commentaries/east-asia-beat/claim-02092014205453.html
8. Something wicked this way come. (2021, May
1-7). The Economist. pp.14-17
9. The Most Dangerous Place on Earth. (2021, May
1-7). The Economist. P.7
-----------------------