เบื้องหน้าเบื้องหลังการสร้าง IPEF ของไบเดน
ฝ่ายสหรัฐคิดเสมอว่าทำอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศสูงสุด รวมทั้งการต่อต้านจีน IPEF เป็นความพยายามรอบใหม่ ประกาศชัดขอสร้างกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกที่ตนเป็นผู้นำ
23 พฤษภาคมประธานาธิบดีโจ
ไบเดนประกาศจัดตั้งกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework หรือ IPEF) เพื่อต้านอิทธิพลเศรษฐกิจจีนในภูมิภาคนี้ กล่าวว่า
"อนาคตทางเศรษฐกิจของศตวรรษที่ 21 จะถูกเขียนโดยภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก"
และ "เรากำลังเขียนกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่" ในเบื้องต้นประเทศที่เข้าร่วมได้แก่
สหรัฐ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ อินเดีย และ 7 ชาติอาเซียนคือ
ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม รวมทั้งหมด 13
ประเทศ
แนวคิดเบื้องหลัง :
บทความนี้นำเสนอแนวคิดเหตุผลการสร้างระเบียบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก
พร้อมข้อวิพากษ์ ดังนี้
ประการแรก พึ่งพาสินค้านำเข้ามากเกินไป
โดยเฉพาะจีน
สถาบันคลังสมอง Rethink Trade อธิบายว่าโลกาภิวัตน์ทำให้สหรัฐนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศมหาศาลโดยเฉพาะจากจีน
กระทบความยืดหยุ่นและการพึ่งพาตัวเอง โรคระบาดโควิด-19 ชี้ให้เห็นชัดว่าสหรัฐขาดแคลนสินค้าจำเป็นหลายตัว
(หน้ากากอนามัย ถุงมือ ยา) ไม่สามารถพึ่งพาตัวเอง สินค้าจีนทำลายอุตสาหกรรม
โรงงานกว่า 70,000 โรงต้องปิดตัว นับแสนคนนับล้านตกงาน ส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ
แอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชี้ว่าจีนใช้นโยบายทุ่มตลาด
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือตลาดเหล็กกล้าที่ผลิตจำนวนมากและขายถูกโดยไม่หวังกำไรเพราะได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลจีน
ต้นทุนต่ำเพราะไม่คำนึงสิ่งแวดล้อม ไม่ปกป้องสิทธิคนงาน โรงงานอเมริกันจึงสู้ไม่ได้
สินค้าอื่นเช่น แผงโซล่าเซลล์ แบตเตอร์รี่รถไฟฟ้า สหรัฐไม่อาจปล่อยให้ตนต้องพึ่งพิงสินค้าจากจีนอย่างสิ้นเชิง
วิเคราะห์ : การค้าเสรีเป็นเรื่องดีแต่ต้องคำนึงประเด็นอื่นๆ
ประเทศจำต้องสามารถผลิตสินค้าจำเป็นที่สุดอย่างพอเพียงเสมอ เช่น ยา อาหารพื้นฐาน
จะคิดแต่เรื่องต้นทุนกำไรอย่างเดียวไม่ได้
ประการที่ 2 โลกาภิวัตน์ที่รุนแรง การค้าเสรีที่ไม่เป็นประโยชน์
คลังสมอง Rethink Trade ชี้ว่า 3 ทศวรรษในโลกาภิวัตน์ที่รุนแรง
(hyperglobalization) การค้าเสรี WTO วิธีการค้าการลงทุนแบบเก่าไม่ได้ประโยชน์
สหรัฐสูญเสียหลายอย่าง ขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมเสียไป เสียผลประโยชน์ที่ได้จากนวัตกรรมที่สร้างขึ้นมา
ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองเพราะปัญหาจากห่วงโซ่อุปทาน (supply chains) จำต้องเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานเพราะสินค้าบริการขนส่งตลอดเวลา ถ้าสหรัฐไม่สร้างก็จะมีประเทศใดประเทศหนึ่งสร้าง
เรื่องนี้มีผลต่อความเข้มแข็งไม่เฉพาะสหรัฐเท่านั้นมีผลต่อพันธมิตรและหุ้นส่วน
จึงรอช้าไม่ได้
วิเคราะห์ : สังเกตว่ารัฐบาลไบเดนยอมรับตรงไปตรงมาว่าสหรัฐสู้ไม่ได้ในการค้าเสรีโลกาภิวัตน์ที่ครั้งหนึ่งรัฐบาลกับนักวิชาการอเมริกันสนับสนุน
ประการที่ 3 TPP กับ CPTPP ล้วนบกพร่อง
TPP หรือความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific
Strategic Economic Partnership Agreement) กับ Comprehensive
Progress TPP (CPTPP) เป็นอีกสาเหตุที่พูดกันมาก
ชี้ว่าร่างข้อตกลงดังกล่าวบกพร่อง เช่น กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (rules
of origin) กติกาการลงทุนการซื้อขายล้วนเอื้อประโยชน์จีน ดังนั้นแม้จีนไม่เป็นสมาชิกแต่ได้ประโยชน์เต็มๆ
วิเคราะห์ : ไม่ว่าเพื่อต้านจีนหรือเอื้อเศรษฐกิจอเมริกา
สมัยรัฐบาลโอบามากระตือรือร้นเจรจาอยู่หลายปีจนใกล้สำเร็จ แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลๆ
ทรัมป์ล้มการเจรจาดื้อๆ ประเทศคู่เจรจาเสียความรู้สึกมาก
ในช่วงสุญญากาศนี้เองย่อมเป็นโอกาสให้ประเทศแถบนี้ทำการค้ากับจีนเต็มที่
ในสมัยทรัมป์ยึดหลัก “free and fair” ที่ห้ามประเทศใดเกินดุลสหรัฐหาไม่แล้วจะถูกคว่ำบาตร
(แต่ไม่ห้ามหากสหรัฐจะเกินดุลประเทศคู่ค้า) เป็นการค้าที่ตั้งบนกฎใหม่ระเบียบใหม่ที่อเมริกาสร้างเอง
และบังคับใช้ด้วยตนเอง น่าติดตามว่ารัฐบาลไบเดนจะยึดแนวทางนี้ต่อไปหรือไม่
เพราะตอนนี้กำลังสร้างกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก IPEF
ที่ประกาศว่าตนคือผู้นำกลุ่มเพียงผู้เดียว
ประการที่ 4 กรอบเป้าหมายใหม่
รัฐบาลไบเดนประกาศชัดว่าข้อเสนอกับกติกาของ TPP เดิมต้องแทนที่ด้วยกติกาใหม่ที่ส่งเสริมการจ้างงาน
ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นตอบสนองความต้องการอย่างรวดเร็ว (resilient supply
chain) ส่งเสริมให้เศรษฐกิจในประเทศมั่นคง และส่งเสริมเป้าหมายอื่นๆ
เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ลดภาวะโลกร้อน ส่งเสริมสุขภาพ เพื่อเป้าหมายดังกล่าวจะต้องฟื้นฟูระบบการผลิตภายในประเทศและนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ
ที่ไม่ใช่เพียงนำเข้าจากเวียดนามหรือประเทศหนึ่งประเทศใดเพื่อแทนนำเข้าจากจีน
ทั้งยังต้องให้สัมพันธ์กับการส่งเสริมแรงงาน
ความเท่าเทียมและ ส่งเสริมการอยู่ดีมีสุขของชุมชน ส่งเสริมสิทธิแรงงานให้มีรายได้สูงขึ้น
ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสัมพันธ์กับนโยบายอื่นๆ ทุกด้าน
ประการที่ 5 ต่อต้านผลประโยชน์แอบแฝง
ความไม่ยั่งยืน และ RCEP
ข้อนี้มุ่งคำนึงผลประโยชน์แอบแฝงทุกอย่างที่บั่นทอนขีดความสามารถในการผลิต
ลดค่าแรงและทำลายสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาข้อตกลง TPP
มีผลประโยชน์พิเศษแอบแฝง แนวทางใหม่ต่อต้านเรื่องเหล่านี้ รวมทั้งการคุ้มครองผู้บริโภค
ต่อต้านการผูกขาด
รวมทั้งต่อต้านความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
(Regional Comprehensive
Economic Partnership หรือ RCEP) รัฐบาลสหรัฐมองว่า
RCEP อยู่ใต้อิทธิพลจีน แม้จะอ้างว่าทุกประเทศร่วมกันเขียนข้อตกลงแต่ความจริงแล้วจีนได้ประโยชน์มากสุด
วิเคราะห์ : หากถ้าคิดตามกรอบนี้อาจตีความว่าญี่ปุ่น ออสเตรเลีย
เกาหลีใต้ที่เป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐอยู่ใต้อิทธิพลจีนด้วยหรือไม่ (ญี่ปุ่น
ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ร่วม RCEP) ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
ในแง่ความมั่นคงทางทหารญี่ปุ่นยังมองจีนเป็นภัยคุกคามอันดับต้นเช่นเดิม
ดังที่เคยนำเสนอแล้วว่าทั้งญี่ปุ่น
เกาหลีใต้ต่างมีจีนเป็นคู่ค้าสำคัญ RCEP จะกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้ใกล้ชิดกว่าเดิม
มีผู้ประเมินว่าเมื่อถึงปี 2030 RCEP จะช่วยเพิ่มยอดการค้าโลกอีก
500,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
โดยเฉพาะจะเพิ่มการค้าการลงทุนระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ประการที่ 6 ตอบสนองการเมือง
ที่ผ่านมามีคำถามว่านโยบายการค้าระหว่างประเทศเอื้อประโยชน์แก่คนอเมริกันมากแค่ไหน
ดังนั้น IPEF จึงตั้งอยู่บนแนวคิดว่าต้องเพิ่มการจ้างงานในอเมริกา
ตรงข้ามกับการค้าเสรีปัจจุบันที่คนงานอเมริกันตกงานมากขึ้นเรื่อยๆ
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐกล่าวว่า
"กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก คือความพยายามของประธานาธิบดีไบเดนในการผลักดันให้ครอบครัวและแรงงานอเมริกันเป็นศูนย์กลางของนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจของสหรัฐ
ควบคู่ไปกับการกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรและประเทศคู่ค้าของสหรัฐ"
วิเคราะห์ : ประเด็นคนอเมริกันต้องได้ประโยชน์จากนโยบายต่างประเทศเป็นเรื่องที่สังคมอเมริกันให้ความสนใจว่านโยบายต่างประเทศมุ่งประโยชน์แก่บรรษัทเอกชน
นายทุน หรือเพื่อประชาชนกันแน่ ที่ผ่านมาองค์กรลูกจ้างมักถูกกีดกันไม่ค่อยมีส่วนในกระบวนการเจรจา
เกิดคำถามเสมอว่าข้อตกลงเอื้อประโยชน์แก่แรงงานแค่ไหน
การที่รัฐบาลไบเดนชูว่า IPEF มุ่งเป้าการจ้างงาน
เพิ่มคุณภาพชีวิต สาเหตุหนึ่งเพื่อตอบสนองการเมืองในประเทศ
พร้อมกับใช้เป็นหลักฐานว่าจำต้องถอยห่างจากการค้าเสรีแบบเดิม
เพราะสุดท้ายกลายเป็นว่าสหรัฐเสียเปรียบ คนอเมริกันตกงานหลายล้านคน อุตสาหกรรมอ่อนแอลง
ไม่ว่าวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้จะเป็นเช่นไร
(ให้เป็นภูมิภาคที่เสรี เปิดกว้าง เชื่อมต่อ ยืดหยุ่นและมั่นคง) IPEF
อาจเป็นเพียงกลวิธีหรือช่องทางนำสู่การเจรจาระหว่างสมาชิก (คู่เจรจา)
กับรัฐบาลสหรัฐ และไม่ใช่การเจรจาการค้าการลงทุนเท่านั้น
จะสัมพันธ์กับนโยบายความมั่นคง ประเด็นที่รัฐบาลสหรัฐกังวล โดยเฉพาะการต้านจีน
ในที่สุดจะกลายเป็นระบบเศรษฐกิจการเมืองของภูมิภาคที่มีสหรัฐเป็นแกนนำนั่นเอง
1. ไบเดนเปิดตัว 'กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก' - ไทยเข้าร่วมด้วย.
(2022, May 23). VOA Thai. Retrieved from https://www.voathai.com/a/biden-launches-indo-pacific-economic-framework-/6585473.html
2. EXPLAINER: What’s in
Biden’s proposed new Asia trade pact? (2022, May 23). AP. Retrieved from
https://apnews.com/article/biden-asia-tokyo-government-and-politics-8577338ff19c5c17b78a4b747327aa34
3. (U.S Department of State.
(2022, May 26). The Administration’s Approach to the People’s Republic of
China. Retrieved from
https://www.state.gov/the-administrations-approach-to-the-peoples-republic-of-china/
4. Wallach, Lori. (2022, Apr
14). U.S. trade policy and impact of China's distortions on U.S. jobs, growth,
and innovation. Retrieved from
https://www.uscc.gov/sites/default/files/2022-04/Lori_Wallach_Testimony.pdf
5. With IPEF Launch Imminent,
Here’s What You Need to Know About the Indo-Pacific Economic Framework. (2022,
May 20). Nikkei Asia. Retrieved from
https://www.citizen.org/news/with-ipef-launch-imminent-heres-what-you-need-to-know-about-the-indo-pacific-economic-framework/
-----------------------