2 ประเด็นสำคัญที่ไบเดนเผชิญในสมรภูมิยูเครน
การศึกในยูเครนไม่ใช่เรื่องที่อยากเลิกก็เลิกได้ทันที เพราะสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญยิ่งกว่าความเป็นไปของยูเครนที่มหาอำนาจไม่อาจสูญเสีย
สงครามยูเครนก้าวสู่เดือนที่ 5 นาโตยืนยันสนับสนุนยูเครนสู้กับรัสเซียต่อไป
กองทัพรัสเซียมุ่งยึดพื้นที่ด้านตะวันออกตามยุทธศาสตร์สร้างเขตกันชนที่ประกาศตั้งแต่ต้น
ผลคือแม้ยูเครนไม่สามารถทำลายกองทัพรัสเซียแต่สงครามยืดเยื้อตราบเท่าที่ 2 ฝ่ายยังไม่สงบศึก
ในมุมของสหรัฐผู้เป็นแกนนำนาโต คำถามคือสงครามนี้จะจบอย่างไร
มี 2 ประเด็นใหญ่ที่ต้องคิดหนัก
ประการแรก ความเป็นเจ้าของสหรัฐ
แม้นาโตประกาศตั้งแต่ก่อนสงครามว่าการรบครั้งนี้ทหารนาโตจะไม่ปะทะกับทหารรัสเซีย
เป็นการรบระหว่างยูเครนกับรัสเซียเท่านั้น แต่เมื่อสงครามผ่านไปนาโตเริ่มส่งอาวุธช่วยยูเครน
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การรบยืดเยื้อ ในเวลาต่อมารัสเซียชี้ว่าเป็นสงครามเศรษฐกิจด้วย
สมรภูมิยูเครนมีส่วนคล้ายสงครามอัฟกานิสถาน
พวกมูจาฮิดีน (Mujahidin) ต่อต้านการรุกรานของกองทัพโซเวียตเมื่อปี
1979 เหตุการณ์ครั้งนั้นรัฐบาลสหรัฐส่งอาวุธช่วยมูจาฮิดีน มีผู้อธิบายว่าเป็นสงครามตัวแทน
(proxy war) ระหว่างสหรัฐกับโซเวียตรัสเซีย นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐต้องการให้สมรภูมิยูเครนเป็นเหมือนอัฟกานิสถานครั้งนั้น
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน
กองทัพรัสเซียค่อยๆ รบ หลีกเลี่ยงการปะทะการสูญเสียโดยไม่จำเป็น ดูเหมือนว่าเตรียมทำศึกระยะยาว
อาจวิเคราะห์ว่ารัฐบาลสหรัฐกับพวกยังมั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะ
กองทัพรัสเซียอ่อนแอลงทุกที ยิ่งยืดเยื้อรัสเซียยิ่งมีโอกาสเพลี่ยงพล้ำ พร้อมกับด้านเศรษฐกิจที่รัสเซียโดนกดดันอย่างหนัก
ขอเพียงสมาชิกนาโตร่วมมือร่วมใจก็จะไม่แพ้ หรืออาจมองว่าหากยุติการรบตอนนี้การลงทุนที่ผ่านมาจะสูญเปล่า
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสงามๆ เล่นงานรัสเซียอีก
ซ้ำร้ายกว่านั้นหากจบไม่สวยถูกตีความว่านาโตเป็นฝ่ายแพ้ เช่นนี้ย่อมยอมรับไม่ได้ สหรัฐไม่อาจสูญเสียความเป็นเจ้า
การแพ้ในสมรภูมิเดียวบั่นทอนสถานภาพทางการเมืองระหว่างประเทศ
ไม่ว่าจะใช้มุมมองใด เป้าหมายท้าทายของสหรัฐคือต้องการยุติสงครามโดยที่โลกรับรู้ว่ารัสเซียสูญเสียหนัก
แม้ยูเครนต้องเสียดินแดนบางส่วนก็ตาม
รวมความแล้วศึกครั้งนี้เดิมพันสูง รัฐบาลไบเดนไม่อาจปล่อยให้ถูกตีความว่าสหรัฐเป็นฝ่ายแพ้
นาโตหรือฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายให้กับอำนาจนิยมรัสเซีย
เช่นเดียวกับประธานาธิบดีปูตินที่ไม่อยากเป็นฝ่ายแพ้เช่นกัน นักวิเคราะห์บางคนคิดว่าคนอย่างปูตินจะไม่ยอมเป็นฝ่ายแพ้เด็ดขาด Graham
Allison จาก Harvard University ชี้ว่าถ้าจำเป็นปูตินจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำลายทุกสิ่งให้สิ้นซากดีกว่ายอมแพ้
ถ้ามองในกรอบรัสเซียเป็นผู้ถูกกระทำ
รัสเซียถูกนาโตเล่นงานเรื่อยมาครั้งนี้เป็นโอกาสเอาคืน ถ้าหากชนะย่อมเปิดทางแก่โอกาสดีๆ
ตามมาอีกมาก
การศึกจึงต้องยืดเยื้อต่อ ลอยด์ ออสติน (Lloyd Austin) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐประกาศให้พันธมิตรเตรียมตัวทำศึกหลายปี
ไม่กี่วันต่อมาเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตพูดซ้ำขอให้เตรียมรับมือสงครามยูเครนแบบยาวๆ
สมรภูมิยูเครนเข้าสู่การรบยืดเยื้อค่อยๆ บั่นทอนข้าศึก (a war of attrition)
พร้อมกับการรบคือเจรจาทั้งทางตรงทางลับจนกว่าฝ่ายหนึ่งจะชนะหรือได้ข้อตกลงที่ยอมรับได้
นาโตอยู่ระหว่างหารือเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์หลังสงครามยูเครน
ในขณะที่รัสเซียดำเนินตามแผนของตนเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วการสงบศึกจะต้องเกิดขึ้นก่อน
เป็นกระบวนการแรกสู่การจำกัดความสูญเสียทางเศรษฐกิจการเมือง เปิดโอกาสให้โลกกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ประการที่ 2
ความสูญเสียทางสังคมเศรษฐกิจการเมือง
ยุทธศาสตร์ของฝั่งสหรัฐกับพวกที่ใช้ตั้งแต่ต้นคือกระชับการปิดล้อมรัสเซีย
ออกมาตรการคว่ำบาตรหลายระลอก โดยเฉพาะพลังงานฟอสซิลซึ่งเป็นรายได้หลักของรัสเซีย หวังให้อียูเลิกซื้อ
ด้านรัฐบาลปูตินซึ่งเคยเผชิญการคว่ำบาตรใหญ่เมื่อปี
2014 สมัยยึดไครเมียโต้กลับทันควัน
พร้อมเลิกสัญญาซื้อขายพลังงานที่ทำไว้กับชาติสมาชิกอียูและต้องซื้อด้วยเงินรูเบิล ผลจากการคว่ำบาตรทำให้ราคาน้ำมัน
ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเพิ่มขึ้นเท่าตัว (ยึดราคาน้ำมันดิบ WTI นับจากก่อนเกิดโควิด-19 จนถึงที่ระดับราคา 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนก๊าซธรรมชาติกับถ่านหินเพิ่มมากกว่าเท่าตัว)
ด้วยราคาที่ถีบตัวสูงขนาดนี้ไม่แปลกที่ Centre for Research on Energy and Clean
Air (CREA) ชี้ว่า 100 วันสงครามยูเครน รัสเซียได้กำไรจากการส่งออกพลังงานฟอสซิล
98,000 ล้านดอลลาร์ (3.4 ล้านล้านบาท) เฉลี่ยแล้วส่งออกในราคาสูงกว่าปีก่อน 60%
Steve H Hanke จาก Johns Hopkins
Institute อธิบายว่าการคว่ำบาตรส่งผลกระทบต่อผู้ออกมาตรการด้วย ฝ่ายการเมืองจะพยายามปกปิดไม่ให้สังคมรับรู้ว่าเสียหายหนักแค่ไหน
สิ่งที่ปรากฏในสื่อไม่ใช่ทั้งหมด ความเสียหายจริงมากกว่านั้นมาก ในกรณีสงครามยูเครนอียูแบกรับความเสียหายมากกว่าสหรัฐหลายเท่าและสร้างความเสียหายแก่คนทั้งโลก
พวกที่ได้รับผลรุนแรงสุดคือประเทศที่ยากจน พวกคนจนทั้งหลาย
นโยบายห้ามซื้อใช้พลังงานฟอสซิลรัสเซียทำให้ตลาดพลังงานโลกกลายเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
แบ่งขั้วทางการเมือง การซื้อขายน้ำมันไม่เสรีอีกต่อไป (ไม่เสรีเท่าอดีต) ที่เป็นปัญหาคือทุกคนในโลกจะต้องซื้อใช้พลังงานในที่ราคาสูงขึ้นมาก
แต่ละปีทุกประเทศมีเงินเฟ้ออยู่แล้วจะมากหรือน้อยเท่านั้น
(ในช่วงโควิด-19 รัฐบาลทรัมป์กับไบเดนต่างอัดฉีดเงินช่วยเหลือเข้าระบบมหาศาล) การคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียทำให้ปัญหาเงินเฟ้อที่มีอยู่แต่เดิมรุนแรงขึ้นอีก
ข้อมูลหลายประเทศชี้ชัดตรงกันว่าน้ำมันกับอาหารคือตัวสร้างเงินเฟ้อ
การแก้ภาวะเงินเฟ้อเงินล้นระบบเป็นเพียงจุดเริ่มของปัญหาที่จะตามมาอีกหลายขั้นตอน
หลายคนเอ่ยถึงเศรษฐกิจถดถอย บางคนพูดถึง stagflation
ประเด็นอยู่ที่ว่า ความตั้งใจที่จะบั่นทอนเศรษฐกิจรัสเซียส่งผลรุนแรงต่อสหรัฐกับนานาชาติด้วย
เป็นอีกครั้งที่นโยบายต่างประเทศสหรัฐสร้างความสูญเสียแก่นานาชาติอย่างร้ายแรง
ไม่เว้นแม้กระทั่งคนอเมริกัน 330 ล้านคน
เศรษฐกิจโลกโตช้าลง บางประเทศถดถอยไม่เป็นผลดีต่อทั้งฝ่ายสหรัฐกับรัสเซีย
ทั้งคู่อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องดูแลเศรษฐกิจสังคมอย่างใกล้ชิด เมื่อเศรษฐกิจสังคมเสียหายมากประชาชนแสดงความไม่พอใจมากขึ้นตามลำดับ
ถ้าพูดอย่างเป็นกลาง ต้องรอดูต่อไปว่าฝ่ายใดจะยอมแพ้ทางเศรษฐกิจการเมืองก่อน
สงครามยูเครนเป็นสมรภูมิจำกัดขอบเขต
แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมแพร่ทั่วโลก สร้างความเสียหายมหาศาลมากกว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจของยูเครนกับรัสเซียหลายเท่า
ทางออก
... จะออกทางไหน :
ดังที่นำเสนอในบทความก่อนแล้วว่าเงินเฟ้อมาจากหลายปัจจัย
แต่รอบนี้ที่กลายเป็นปัญหารุนแรงระดับโลกมาจากราคาพลังงานเป็นหลัก
ทำให้สินค้าขึ้นราคา แพงทั้งแผ่นดิน
ดังนั้นลำพังการทำให้การซื้อขายพลังงานฟอสซิลกลับสู่ที่เดิมหรือชะลอการเปลี่ยนแปลงออกไป
เพียงเท่านี้ปัจจัยทางจิตวิทยาจะดีขึ้นทันที กลับมามองอนาคตในแง่บวก
ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการแก้ปัญหาจริงที่ต้องใช้เวลาอีกนาน
แต่เนื่องจากทั้งรัฐบาลสหรัฐกับรัสเซียต่างมีผลประโยชน์ที่ต้องรักษา
ไม่อาจสูญเสียเกียรติภูมิของมหาอำนาจ ถูกชี้ว่าเป็นฝ่ายแพ้ แนวทางยุติศึกจะต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
เหล่านี้เป็นอุปสรรคว่า “จะจบอย่างไร” หรือ “จะจบได้อย่างไร” อย่างไรก็ตามปัจจัยเศรษฐกิจการเมืองภายในประเทศ
แรงกดดันจากนานาชาติน่าจะเป็นแรงผลักดันให้ได้ข้อสรุปในที่สุด และควรสังเกตว่ารัฐบาลเซเลนสกีแทบไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเหล่านี้เลย
ทั้งๆ ที่ประเทศตัวเองเป็นพื้นที่สมรภูมิ
บทความที่เกี่ยวข้อง :
1. "Dealing with Horrible
Leaders Is Part of the History of International Relations" (2022, May 20).
Spiegel Online. Retrieved from
https://www.spiegel.de/international/world/interview-dealing-with-horrible-leaders-is-part-of-the-history-of-international-relations-a-31a0aabb-35eb-4107-a65f-39ae5f79c9e7
2. How the West miscalculated
its ability to punish Russia. (2022, June 6). Asia Times. Retrieved from
https://www.thenationalnews.com/world/2022/06/02/russia-controls-a-fifth-of-ukraine-on-eve-of-100th-day-of-war-zelenskyy-says/
3. Pentagon updates US goals
in Ukraine. (2022, June 14). RT. Retrieved from
https://www.rt.com/news/557168-pentagon-goals-ukraine-russia/
4. Russia earns $98 bln from
fuel exports in 100 days of Ukraine war: Report. (2022, June 13). Arab News.
Retrieved from
https://english.alarabiya.net/News/world/2022/06/13/Russia-earns-98-bln-from-fuel-exports-in-100-days-of-Ukraine-war-Report
5. Tarzi, Amin. (2004).
Mujahidin. In Encyclopedia of Islam & the Muslim World (pp.490-491).
USA: Macmillan Reference.
6. The West Tries to Figure
Out What Peace Might Look Like. (2022, May 30). Spiegel Online. Retrieved
from
https://www.spiegel.de/international/world/what-s-next-for-ukraine-the-west-tries-to-figure-out-what-peace-might-look-like-a-9116433c-ff62-4438-b7fd-12a1241525c9
7. West must brace for 'long
haul' in Ukraine: NATO chief. (2022, June 3). Channel News Asia. Retrieved
from
https://www.channelnewsasia.com/world/ukraine-invasion-nato-chief-says-west-must-brace-long-haul-2724401
-----------------------