พรรคแรงงานอังกฤษในความเปลี่ยนแปลง
อังกฤษชาติต้นแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา พรรค Labour Party ที่ยึดแนวทางสังคมนิยมประชาธิปไตยอยู่คู่การปกครองประเทศนี้มากว่าศตวรรษแล้ว พร้อมกับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา
หลายคนรู้ว่าสหราชอาณาจักรหรือพูดสั้นๆ ว่าอังกฤษเป็นต้นแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสมเด็จพระราชินีนาถเป็นประมุขประเทศ แต่บางคนอาจไม่รู้ว่าพรรค Labour Party ที่ยึดแนวทางสังคมนิยมประชาธิปไตยอยู่คู่การปกครองประเทศนี้มากว่าศตวรรษแล้ว
สังคมนิยมประชาธิปไตย :
สังคมนิยมประชาธิปไตย
(Social Democracy หรือ Democratic Socialism) รับรู้ความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นแต่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติสังคมที่ใช้ความรุนแรง
ที่ต้องเห็นการแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรง
เกิดสงครามกลางเมืองที่คนชาติเดียวกันต้องมาประหัตประหารเสียชีวิตเพื่อล้มระบอบการปกครองเดิม
นักสังคมนิยมประชาธิปไตยเชื่อว่าเมื่ออุดมการณ์สังคมนิยมของตนดีจริง
เป็นประโยชน์ต่อมวลชน ประชาชนจะเลือกเอง
สามารถเป็นรัฐบาลบริหารประเทศผ่านการเลือกตั้ง ดังนั้น สังคมนิยมประชาธิปไตยจึงเป็นอุดมการณ์ที่ต้องการให้ระบอบการเมืองการปกครองเป็นไปตามสมัครใจ
ประชาชนเป็นผู้เลือกว่าต้องการรัฐบาลจากพรรคการเมืองที่ยึดอุดมการณ์แบบใด การจะเป็นสังคมนิยมหรือไม่ต้องได้อำนาจผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ในด้านเศรษฐกิจ
สังคมนิยมประชาธิปไตยมีแนวทางใกล้เคียงลัทธิเสรีนิยมสมัยใหม่ (Modern
Liberalism) ให้แข่งขันเสรีแต่กลไกตลาดเพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ
รัฐบาลต้องเข้าแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือปกป้องปัจเจกชนที่อ่อนแอ
รัฐต้องสนใจดูแลผู้มีรายได้ต่ำมากกว่าปล่อยให้ดำเนินชีวิตตามยถากรรม
พรรคแรงงานอังกฤษ :
พรรคแรงงานอังกฤษยึดแนวทางสังคมนิยมประชาธิปไตยตามแบบฉบับของตน เริ่มประกาศใช้คำว่า “Labour Party”
อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ.1906 จุดเริ่มต้นมาจากการรวมตัวของกรรมกร
ใช้แนวคิดที่รวมหลายอย่างเข้ามาทั้งจากต่างประเทศกับในประเทศ สรุปรวบยอดเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตยแบบหนึ่ง
ยึดเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขของกรรมกร
จากการรวมกลุ่มกรรมกรจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของตน
ปี 1918 ความเป็นพรรคเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เปิดรับสมาชิกทั่วประเทศ
จัดตั้งกลุ่มในพื้นที่ต่างๆ เคลื่อนไหวทางการเมืองระดับท้องถิ่น เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ
1920-30 พรรคเริ่มเป็นคู่แข่งพรรคอนุรักษ์นิยม ยุคที่สหภาพแรงงานเฟื่องฟู
ในปี 1924 ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลครั้งแรก
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
พรรคเป็นส่วนหนึ่งของพรรคร่วมรัฐบาล
ด้วยบริบทสงครามและนโยบายรัฐบาลกิจการหลายอย่างกลายเป็นของรัฐ รัฐบาลเข้าควบคุมเศรษฐกิจสังคมใกล้ชิด
แต่ไม่นานความนิยมต่อพรรคเสื่อมถอย เพราะการวางแผนจากส่วนกลางขาดประสิทธิภาพ
ระบบราชการเชื่องช้า
อย่างไรก็ตามพรรคแรงงานอังกฤษคงความเป็นพรรคหลักพรรคหนึ่งคู่กับพรรคอนุรักษ์นิยม
มีโอกาสเป็นฝ่ายรัฐบาลอีกหลายครั้ง และมีพัฒนาการเรื่อยมา เช่น ปี 1972
เกิดตำแหน่งผู้นำ Young Socialist จากการเลือกตั้งภายในพรรคทั่วประเทศ
ปี 1990 มติพรรคให้จัดตั้ง Policy Forum
เพื่อทำงานด้านนโยบายโดยเฉพาะ มีจำนวนเกือบ 200 คน คณะทำงานมาจากการเลือกตั้งวาระ
2 ปี แบ่งเป็น 8 กลุ่มครอบคลุมนโยบายทุกด้าน
จะเห็นว่า ระบบการทำงานของพรรคโปร่งใสเป็นระบบระเบียบ
เปิดกว้างให้สมาชิกพรรคทั่วประเทศมีส่วน มีคณะทำงานเฉพาะด้าน ตำแหน่งสำคัญมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกทั้งหมด
มีตัวแทนจากกลุ่มเฉพาะตามสัดส่วน เช่น ตัวแทนเยาวชน ตัวแทนคนผิวสี
ตัวแทนนักสังคมนิยม ตัวแทนท้องถิ่น ตัวแทนสหภาพที่หลากหลาย เช่น สหภาพครู
สหภาพเกษตรกร
พรรคแรงงานในยุคโลกาภิวัตน์ :
พรรคแรงงานอังกฤษผูกติดกับสหภาพแรงงานเรื่อยมาแต่เมื่อระบบเศรษฐกิจโลกเปลี่ยน
อุตสาหกรรมดั้งเดิมอย่างถ่านหิน เหล็กกล้า อู่ต่อเรือ อุตสาหกรรมหนักหลายอย่างเสื่อมถอย
ในขณะที่ภาคบริการ ธุรกิจสมัยใหม่เติบโต เป็นปัจจัยให้สหภาพอ่อนแรง
ผลคือพรรคแรงงานที่เคยผูกติดกับสหภาพต้องปรับตัวหายุทธศาสตร์ใหม่
โทนี
แบร์ (Tony Blair) คือผู้มากับแนวทางใหม่ ไม่ยึดฐานเสียงสหภาพมากเช่นอดีต ลดความเป็นสังคมนิยมและหันไปหาทุนนิยมมากขึ้น
แบร์ถึงกับเรียกชื่อพรรคว่าใหม่ว่า “New Labour”
แนวทางนี้หรือที่บางคนเรียกว่าลัทธิแบร์ (Blairism) ถูกกล่าวขานว่าเป็น
“ทางเลือกที่ 3” (third way)
เป็นการผสมผสานทุนนิยมกับสังคมนิยม
หลักคิดคือทุกวันนี้ไม่มีประเทศใดที่ใช้ระบบทุนนิยมเสรีเต็มร้อยหรือสังคมนิยมเต็มร้อย
ล้วนเป็นการผสมผสาน 2 ลัทธิหรือมากกว่าเข้าด้วยกัน หวังสร้างสังคมที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อหน้าที่การงานที่ดี
สร้างสาธารณูปโภค พร้อมกับให้ทุกคนมีเสรีภาพ สิทธิที่จะความมั่งคั่งร่ำรวย
ประชาชนสามารถเลือกเข้าถึงบริการต่างๆ ที่เหนือกว่า
ในช่วงที่โทนี
แบร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (1997-2007) แนวนโยบายของท่านคือสังคมแห่งความยุติธรรม
(social justice) การกระจายรายได้ต้องเท่าเทียมมากขึ้น พลเมืองทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียม
ชุมนมที่มีโอกาสเท่าเทียม หวังสร้างสังคมที่คนเอื้ออาทรต่อกัน ส่งเสริมบทบาทของโบสถ์
แบร์เห็นว่าทุกคนควรทำงานหนักและสะสมความมั่งคั่งของตน
พร้อมกันนี้ต้องมีใจช่วยเหลือคนอื่น ปฏิเสธแนวคิดการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมตามแนวทางสังคมนิยมซึ่งในสหราชอาณาจักรหมายถึงรัฐวิสาหกิจต่างๆ
เช่น กิจการรถไฟ โรงพยาบาลรัฐ โรงงานอุตสาหกรรมของรัฐ
ในด้านเศรษฐกิจเป็นการผสมระหว่างตลาดทุนนิยมเสรีกับสังคมนิยมประชาธิปไตย
ผลที่ออกมาจึงให้ความสำคัญแก่ “โอกาส” กับ “ผลลัพธ์” อย่างเท่าเทียม รัฐบาลทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคพร้อมกับส่งเสริมการแข่งขัน ส่งเสริมธุรกิจเอกชน
ลดภาษี ส่งเสริมให้มีงานทำ พร้อมกับเพิ่มสวัสดิการสังคม สนับสนุนทั้งผู้นำธุรกิจกับผู้นำสหภาพ
อย่างไรก็ตาม
พวกฝ่ายซ้ายเห็นว่าแนวทางนี้เป็นอีกรูปแบบของเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) มากกว่าการเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย
หรือพรรคฯ (ผู้นำใหม่) เห็นว่าการได้คะแนนจากฐานเสียงอื่นๆ และการปรับตัวตามยุคสมัยสำคัญกว่า
John
McCormick อธิบายว่าความจริงแล้วปัจจุบันไม่มีประเทศใดที่ใช้ Classical
liberalism กับ Economic liberalism (capitalism) อีกแล้ว ทุกประเทศล้วนผสมทุนนิยมกับสังคมนิยมเข้าด้วยกัน เกิดแนวทางที่
3 คือรัฐบาลยื่นมือเข้ามาดูแลจัดการกระจายความมั่งคั่ง ลดความเหลื่อมล้ำ
แก้ปัญหาสังคมต่างๆ เป็นแนวทางที่สนับสนุนบทบาทรัฐบาลใช้อำนาจครอบคลุมกว้างขวาง
ประเด็นวิพากษ์คือเป็นความเข้าใจว่าทุนนิยมเสรีเอื้อนายทุนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลปกป้องกรรมกร
แต่เมื่อรัฐบาลเข้ามาควบคุมมากขึ้นก็เกิดคำถามอีกว่ารัฐบาลเข้ามาควบคุมเพื่อประโยชน์ของคนทั่วไปหรือเพื่อนายทุนกันแน่
ในแง่การเลือกตั้ง ความสำเร็จของรัฐบาลแบร์คือ แนวคิดการเมืองการปกครองไม่สำคัญมากเท่ากับความเชื่อมั่นของประชาชนกับผลลัพธ์สุดท้าย
โดยยึดความพึงพอใจของพลเมือง ที่สุดแล้วจึงอยู่ที่การหาเสียง การบริหารประเทศ
เลือกใช้นโยบายที่เหมาะสมกับบริบท ส่วนจะเป็นลัทธิการเมืองใดชื่อพรรคใดอาจไม่สำคัญเพราะไม่มีรัฐบาลใดที่ยึดลัทธิทุนนิยมเต็มร้อยกับสังคมนิยมเต็มร้อยมานานแล้ว
ความสำเร็จของสังคมนิยมอังกฤษ :
แม้ความเหลื่อมล้ำยังพบเห็นทั่วไป
สังคมตั้งคำถามว่าพรรคแรงงานอังกฤษปัจจุบันเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตยหรือเป็นทุนนิยมเสรี
มีผลดีหลายอย่างเกิดจากลัทธิสังคมนิยม เช่น 1) มีสหภาพแรงงานและเป็นที่ยอมรับ 2) ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ
(National Health Service: NHS) 3) เรียนฟรีถึงอายุ 18 ปี 4)
สวัสดิการที่อยู่อาศัย (รัฐสนับสนุนให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัย) 5)
กรรมกรมีรายได้และสวัสดิการดีขึ้น
หรืออาจตีความว่าเพราะตามระบอบประชาธิปไตยทุกพรรคหวังได้คะแนนเสียง
จึงต้องทำตามข้อเรียกร้องของประชาชน ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากพรรคฝ่ายซ้ายหรือขวาล้วนมีนโยบายเชิงสังคมนิยมผสมอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น
ต่างกันที่ว่าฝ่ายหนึ่งเอาสังคมนิยมขึ้นนำกับอีกฝ่ายเอาทุนนิยมขึ้นนำ และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าอยากเลือกพรรคใด
----------------------
บรรณานุกรม :
1. Butler, David. (2011). British Political Facts (10th Ed.)
UK: Palgrave Macmillan.
2. Diamond, Larry., Gunther, Richard (Eds.). (2001). Political
Parties and Democracy. Maryland: The Johns Hopkins University Press.
3. Harrison, Kevin., Boyd, Tony. (2003). Understanding Political
Ideas and Movements. UK: Manchester University Press.
4. Hoffman, John., & Graham, Paul. (2015). Introduction
to Political Theory (3rd Ed.). Oxon: Routledge.
5. Knight, Julian. (2010). British Politics for Dummies.
England: John Wiley & Sons, Ltd.
6. McCormick, John. (2010). Comparative Politics in Transition (6th
Ed.). USA: Wadsworth, Cengage Learning.
--------------------------