Fanaticism ลัทธิคลั่งไคล้ หลงใหลสุดโต่ง
Oxford Advanced Learner's Dictionary ให้ความหมาย Fanaticism คือความเชื่อหรือพฤติกรรมสุดโต่ง มักเกี่ยวข้องกับศาสนา การเมือง มีความหมายคล้าย Extremism
ภาษาไทยอาจใช้คำว่า ความคลั่งไคล้ ความหลงใหลในบุคคล ลัทธิหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา
แสดงออกอย่างไร้เหตุผล สุดโต่ง
รากศัพท์ Fanaticism :
Fanaticism มาจากรากศัพท์ภาษาลาติน “Fanaticus” มีความหมายแง่บวกเกี่ยวข้องกับศาสนา
เป็นผู้รับใช้ (servant) ผู้อุปถัมภ์วัด (benefactor
of a temple)
“Fanaticus”
มาจากคำว่า “fanum” คำหลังนี้หมายถึงวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมศาสนาโบราณ เช่น การตีตัวเองด้วยของมีคมเพื่อให้เลือดออก
ในศตวรรษที่
17 พวกคาทอลิกเริ่มใช้ในความหมายเชิงลบต่อคำสอนบิดเบือนศาสนาซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงในสมัยนั้น
หลายคนรับโทษรุนแรง เป็นความขัดแย้งระหว่างคาทอลิกกับกลุ่มหรือนิกายใหม่
จอห์น
ล็อค (John Locke, 1632-1704) ผู้สนับสนุนสิทธิเสรีภาพเห็นว่าใครจะปฏิบัติศาสนาอย่างไรก็ได้
การตีตราว่าใครเป็นพวกคลั่งไคล้พวกบิดเบือนศาสนาเป็นเรื่องการเมืองหรือเป็นปัญหาชาวบ้านมากกว่า
(civic issue) กลายเป็นประเด็นถกเถียงว่าควรกล่าวโทษผู้นับถือศาสนาผิดจากตนหรือควรยับยั้งชั่งใจอดทนต่อความเชื่อที่แตกต่าง
Fanaticism ในปัจจุบันใช้ในความหมายแง่ลบ มักเกี่ยวข้องกับศาสนา การเมืองและมีใช้ในกรณีอื่นๆ
ลักษณะพื้นฐาน :
จากการศึกษาพบว่ามีลักษณะดังนี้
ประการแรก
เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางทัศนคติ มุมมอง
ลักษณะพื้นฐานที่โดดเด่นที่สุดคือเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางทัศนคติ
มุมมอง หลักการ โดยเฉพาะศาสนา (religious fanaticism)
การเมือง การคลั่งชาติ (nationalistic fanaticism) การปฏิวัติปฏิรูปสังคมการเมือง
บางครั้งเป็นความเห็นต่างระหว่างด้าน
เช่น ศาสนากับการเมือง เสรีประชาธิปไตยกับ religious fanaticism ความเชื่อแบบคริสต์ถูกฝ่ายเสรีนิยมตีตราว่าเป็นพวกคลั่งไคล้
ประการที่
2 มักใช้ในความหมายเชิงลบ
เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง (Khmer Rouge) เหตุก่อการร้ายปัจจุบันที่เชื่อมโยงกับลัทธิสุดโต่ง
มาตรการต่อต้านคอมมิวนิสต์สุดโต่งของ Joseph McCarthy
จากพรรครีพับลิกันที่ถูกวิพากษ์ว่าทำเกินกว่าเหตุ
ประการที่
3 มากเกินไป ไร้เหตุผล สุดโต่ง
บางครั้งผู้นำประเทศผู้นำความคิดเห็นว่าการปลุกเร้าเป็นเรื่องจำเป็น
ก่อให้เกิดความฮึกเหิม ชัยชนะไม่อยู่ที่จำนวนแต่อยู่ที่พลังใจ เรื่องทำนองนี้อาจถูกฝ่ายตรงข้ามตีความว่าเป็นพวกสุดโต่ง
เช่น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
นักวิชาการตะวันตกบางคนตีความว่าทหารญี่ปุ่นสู้อย่างบ้าคลั่งเพราะหลงใหลลัทธิทหาร (Japanese
military fanaticism) ดังนั้นในขณะที่บางคนตีความว่าทหารญี่ปุ่นรบอย่างห้าวหาญแต่อีกคนอาจตีความว่าคือความบ้าคลั่ง
บางกรณีเป็นแนวคิดที่รุนแรง
นิยมความรุนแรง ใช้คำพูดรุนแรงจงเกลียดจงชัง
สัมพันธ์กับลัทธิสุดโต่งหรือความสุดโต่ง (Extremism) บางกรณีสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิด
(conspiracy theory) ไร้เหตุผล เช่น ลัทธิฟาสซิสม์ (Fascism) พวกระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (totalitarian regimes) และอาจหมายถึงตัวบุคคล
เช่น ฮิตเลอร์
ดังนั้น
กลุ่มเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอาจเรียกว่าเป็นฝ่ายก้าวหน้า (progressive) หรือเป็นพวกสุดโต่งก็ได้
ประการที่ 4 ใช้โจมตีให้ร้ายอีกฝ่ายหรือป้องกันตัวเอง
เนื่องจาก
Fanaticism มักใช้ในความหมายเชิงลบ ชี้ว่าเป็นพฤติกรรมสุดโต่งไม่ดีงาม
คำนี้จึงมักใช้เพื่อโจมตีให้ร้ายอีกฝ่าย สิ่งใดที่ถูกชี้ว่าเป็น Fanaticism
เท่ากับได้รับคำพิพากษาว่าทำผิดมีโทษ ไม่เป็นที่ต้องการ
บ่อยครั้งเป็นการกล่าวโทษแบบเหมารวม เช่น มุสลิมทุกคนเป็นพวกศรัทธาศาสนาสุดโต่ง
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมุสลิมไม่ต่างจากคนนับถือศาสนาอื่นที่มีผู้ศรัทธาหลายระดับ
นักวิชาการบางคนคิดว่าหลังสงครามเย็นรัฐบาลสหรัฐหยิบยกประเด็นอิสลามสุดโต่ง
(Islamic fanaticism) ขึ้นมาเป็นศัตรูแทนสหภาพโซเวียต
สัมพันธ์กับเหตุก่อวินาศกรรม 11 กันยายน 2001
เพื่อชี้ให้คนอเมริกันคิดว่าประเทศยังเผชิญภัยคุกคาม
ตามมาด้วยการทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายทั่วโลก
ความจริงแล้วมุสลิมปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นพวกสายกลาง แม้หลายคนไม่ชอบรัฐบาลตะวันตก
ไม่ชอบค่านิยมตะวันตกที่ขัดอิสลาม แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต่อต้านด้วยการฆ่าฟันทำลายล้าง
หลักคำสอนของคัมภีร์อัลกุรอานเป็นแนวทางสายกลาง ตลอดชีวิตของศาสดามุฮัมมัดเมื่อพบปัญหาความสุดโต่ง
2 ด้านจะเลือกทางสายกลางเสมอ
ในขณะเดียวกันอาจตีความว่าคือการป้องกันตัวเอง การชี้ว่าผู้อื่นเป็น
Fanaticism เป็นวิธีป้องกันหลักคิดปรัชญาที่ตนเองยึดถือ เป็นสมรภูมิด้านความคิดหลักปรัชญา
กรณีวิพากษ์ ยึดบัญญัติครบถ้วนคือพวกสุดโต่งหรือปฏิบัติครบถ้วน
:
สมมติว่าศาสนาความเชื่อหนึ่งมีบัญญัติ
100 ข้อ คนที่ตั้งใจปฏิบัติครบถ้วนทั้ง 100 ข้อควรเรียกว่าเป็นศาสนิกชนผู้ศรัทธาหรือพวกคลั่งศาสนา
ควรปฏิบัติเพียง
50 ข้อหรือไม่เพื่อเรียกว่าเป็นพวกที่ปฏิบัติพอเหมาะ ไม่สุดโต่ง
ควรเลือกปฏิบัติบางข้อที่ตนหรือสังคมขณะนั้นเห็นชอบ
ทิ้งบางข้อที่คิดว่าไม่เหมาะสมหรือไม่ โดยไม่ถือว่าการทำเช่นนี้คือการบิดเบือนศาสนา
(หรือตั้งศาสนาใหม่ที่เหลือบัญญัติบางประการ)
การยึดมั่นศาสนาตามบัญญัติตรงไปตรงมาถูกอีกฝ่ายตีตราว่าเป็นพวกคลั่งศาสนา
แต่การเป็นสายกลาง (moderate) หมายถึงไม่ดีที่สุด-ไม่ชั่วเต็มที่หรืออย่างไร
เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
กรณีวิพากษ์ “พลีชีพเพื่อชาติ” กับ
“ระเบิดพลีชีพ” :
ทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่
2 ได้รับการยกย่องว่าสู้แบบถวายหัว หลายคนยอมตายไม่ยอมแพ้ มีกลุ่มหนึ่งที่พูดถึงบ่อยคือ
“คะมิกะเซะ” (Kamikaze) นักบินเครื่องบินรบที่เตรียมพุ่งชนข้าศึก
เป็นกลุ่มทหารหลักพันรับภารกิจพลีชีพและสัมพันธ์กับความเชื่อศาสนาด้วย
อันที่จริงแล้ว “คะมิกะเซะ” เป็นเพียงทหารกลุ่มหนึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่
2 ความจริงแล้วตลอดประวัติศาสตร์มีทหารประเภทนี้อีกมากทั่วโลก
เมื่อพูดถึงทหารหาญผู้รับภารกิจพลีชีพชวนให้นึกถึงภารกิจ
“ระเบิดพลีชีพ” ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรง เป็นผู้ที่ยินดีรับภารกิจระเบิดพลีชีพด้วยเหตุผลศาสนา
ในหลายกรณีระเบิดพลีชีพถูกฝ่ายตรงข้ามตีตราว่าเป็นพวกหัวรุนแรงสุดโต่ง
ผู้สั่งการเป็นคนโหดร้าย ในขณะที่พวกยึดแนวทางระเบิดพลีชีพบอกว่าเป็นหนทางถูกต้องยอดเยี่ยมตามหลักศาสนา
เรื่องนี้ชวนให้คิดเปรียบเทียบกับคะมิกะเซะ อย่างไรที่เรียกว่าวีรกรรมหรือบ้าคลั่งสุดโต่ง
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
แนวคิดหรือลัทธิที่ครั้งหนึ่งถูกตีตราว่าเป็น
Fanaticism อาจกลายเป็นหลักพื้นฐานที่สังคมยอมรับในเวลาต่อมา
และจากนั้นเกิดแนวคิดหรือลัทธิใหม่กว่า อันหลังนี้ถูกตีตราว่าเป็น Fanaticism
การตีความว่าใครหรือสิ่งใดเป็น
Fanaticism จึงไม่มีมาตรฐานที่ยอมรับทั่วไป ขึ้นกับว่าใครจะยึดถืออย่างไร
เช่น ในสงครามระหว่าง 2 ศาสนา ฝ่ายหนึ่งชี้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกคลั่งไคล้
ในขณะที่ฝ่ายที่ 3 บอกว่านี่คือสงครามระหว่างผู้คลั่งไคล้ศาสนาด้วยกันเอง
อันที่จริงแล้วการต่อสู้เชิงความคิดปรัชญาเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย
ต่างกันที่ประเด็นถกเถียงที่เกิดขึ้นและดับไปตามยุคสมัย เราไม่อาจห้ามการปะทะทางความคิดเหล่านี้แต่สามารถให้ข้อมูลความคิดเห็นของเรา
คำว่า Fanaticism จึงดำรงอยู่ต่อไป
-----------------------
บรรณานุกรม :1. El Fadl, Khaled Abou. (2005).The Great Theft:
Wrestling Islam from the Extremists. Australia: HarperCollins Publishers.
2. Gaus, Gerald F., Kukathas, Chandran (ed.). (2004). Handbook
of Political Theory. London: SAGE Publications.
3. Graille, Patrick. (2005). Fanaticism. In
Encyclopedia of the Enlightenment. (pp.512-516). USA: SAGE Publications.
4. Haar, Edwin van de. (2015). Degrees of Freedom: Liberal
Political Philosophy and Ideology. New Jersey: Transaction Publishers.
5. Israel, Jonathan. (2011). Democratic Enlightenment:
Philosophy, Revolution, and Human Rights, 1750-1790. Oxford: Oxford
University Press.
6. McCormick, John. (2010). Comparative Politics in
Transition (6th Ed.). USA: Wadsworth, Cengage Learning.
7. Michael, George. (2014). Extremism in America.
USA: University Press of Florida. p.298)
(Pauley, Bruce F. (2015). Hitler, Stalin, and Mussolini:
Totalitarianism in the Twentieth Century (4th Ed.). UK: John Wiley &
Sons.
8. Pullin, Eric D. (2007). Anticommunism. In Postwar
America an encyclopedia of social political cultural and economic. NY: M.E.
Sharpe, Inc.
9. Sandler, Stanley (Ed.). (2001). Buckner,
Simon Bolivar, Jr. (1886–1945). In World War II in the Pacific: An
Encyclopedia. (pp. 195-197). New York : Garland Publishing, Inc.
10. Suri, Jeremi. (2010). transnational influences on
American politics. In The Princeton Encyclopedia of American Political
History. (pp.826-833). USA: Princeton University Press.
--------------------------