สงครามต่อต้านก่อการร้ายของสหรัฐในอัฟกานิสถาน
รัฐบาลบุชกับพวกส่งกองทัพบุกอัฟกานิสถานทำสงครามต่อต้านก่อการร้าย รัฐบาลชุดถัดมาเจรจากับตาลีบันที่สหรัฐตีตราว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ในที่สุดรัฐบาลไบเดนประกาศถอนทหารที่เหลือเพียงไม่กี่พันกลับบ้าน
แม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยกับการถอนทหารแต่แนวคิดนี้มีมาหลายปีแล้ว
รัฐบาลสหรัฐเจรจากับตาลีบันเรื่อยมาเพื่อยุติสงคราม คำถามสำคัญคืออนาคตของอัฟกานิสถานจะเป็นอย่างไร
ตาลีบันจะยึดกรุงคาบูลหรือไม่ ประเทศนี้จะเป็นฐานที่มั่นของผู้ก่อการร้ายไหม
อย่าลืมว่าสหรัฐมีนโยบายทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายทั่วโลก
ความสำคัญของกรณีศึกษาอัฟกานิสถาน :
ในมุมมองทางวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สงครามต่อต้านก่อการร้ายในอัฟกานิสถานเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเพราะ
ประการแรก
ไม่ใช่เรื่องเก่า ไม่ใช่เรื่องยุคสงครามเย็น เริ่มเมื่อ
20 ปีก่อนในศตวรรษที่ 21 ยุคโลกาภิวัตน์และเรื่อยมาจนวันนี้ เป็นประเด็นร่วมสมัย
เป็นตัวอย่างสดใหม่
ประการที่
2 เห็นตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้เข้าใจกระบวนการตั้งแต่แรก ดำเนินเรื่อยมาเป็นเวลา
20 ปีและสิ้นสุด (อ้างอิงจุดถอนทหารทั้งหมด) เห็นวิธีการนำเสนอของรัฐบาลสหรัฐในแต่ละช่วงตั้งแต่เหตุผลส่งกองทัพเข้าไปจนถึงประกาศถอนทหารทั้งหมด
ประการที่
3 ประโยชน์จากความรู้ที่ได้ ที่สำคัญคือเข้าใจนโยบาย
การดำเนินนโยบาย การที่สังคมอเมริกันเห็นด้วยกับการส่งทหารเข้าไปทำสงคราม
จนถึงการถอนตัวที่ทุกรัฐบาลประกาศว่าคือชัยชนะซึ่งสามารถวิเคราะห์วิพากษ์ได้หลายแง่มุมเช่นกัน
9/11 เหตุส่งทหารเข้าอัฟกานิสถาน :
เมื่อเกิดเหตุ
11 กันยายน 2001 ผู้ก่อการร้ายบังคับเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช สรุปว่าพวกอัลกออิดะห์เป็นผู้โจมตีสหรัฐและขณะนั้นอาศัยอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน
รัฐบาลบุชขอให้ตาลีบันมอบตัวอุซามะห์ บินลาดิน หรือ โอซามา บินลาเดน (Osama
Bin Laden) แต่บินลาเดนในยามนั้นเป็นวีรบุรุษของเหล่ามุสลิมที่ต่อต้านสหรัฐ
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งทำให้ตาลีบันประกาศยืนยันสนับสนุนอัลกออิดะห์
ประธานาธิบดีบุชจึงสั่งกองทัพบุกอัฟกานิสถานโค่นล้มรัฐบาลตาลีบันพร้อมกับกวาดล้างอัลกออิดะห์
ปฏิบัติการเริ่มต้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2001 หลายประเทศร่วมมือด้วยรวมทั้งรัสเซีย
ธันวาคม 2001 Mullah Omar ผู้นำตาลีบันกับทหารที่เหลือยอมแพ้
เป็นอันยุติยุคตาลีบันปกครองอัฟกานิสถาน และในเดือนนี้เองรัฐบาลชั่วคราวถูกจัดตั้งขึ้น
นายฮามิด การ์ไซ (Hamid Karzai) ได้เป็นผู้นำรัฐบาล แต่พวกตาลีบันกับกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นหลายกลุ่มปฏิเสธอำนาจรัฐบาลกลาง
ดังนั้นแม้ระบอบตาลีบันในกรุงคาบูลจะสิ้นสุด แต่การปะทะกับรัฐบาลใหม่ กองกำลังนาโตและสหรัฐดำเนินต่อไป
ความสำเร็จของรัฐบาลไบเดนหรือของใคร :
ย้อนหลังเมื่อประธานาธิบดีบารัก โอบามารับช่วงต่อจากประธานาธิบดีบุช
โอบามาประกาศนโยบายถอนทหารกลับประเทศ
พฤษภาคม
2014 ประธานาธิบดีโอบามาประกาศนโยบายความมั่นคงสหรัฐต่ออัฟกานิสถานว่าภายในสิ้นปี 2014 สหรัฐจะยุติภารกิจรบ (combat mission)
พร้อมกับถอนกำลังส่วนใหญ่ ให้เหลือเพียง 9,800 นาย
ทหารที่เหลือจะทำหน้าที่ช่วยฝึกกองกำลังรักษาความมั่นคงของอัฟกานิสถาน และจะถอนทหารทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานภายในปี
2016
แต่กระบวนการเป็นไปอย่างล่าช้า
ต้องเจรจากับตาลีบัน รัฐบาลอัฟกันที่สหรัฐสนับสนุน การเจรจายืดเยื้อหลายปี อย่างไรก็ตามสามารถลดจำนวนทหารลง
รัฐบาลทรัมป์มาแนวทางเดียวกันคือต้องการพาทหารกลับบ้าน
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2020 รัฐบาลทรัมป์กับตาลีบันบรรลุข้อตกลงระงับการปะทะกัน
สาระสำคัญคือระงับความรุนแรงระหว่างสหรัฐกับตาลีบันไว้ก่อน พร้อมกับเริ่มกระบวนการเจรจาสันติภาพถาวร
สหรัฐจะถอนกำลังออกจากประเทศทั้งหมดภายใน 14 เดือน (ในขั้นแรกจะลดลงเหลือ 8,600 นายจากจำนวนราว 13,000 นาย)
ตาลีบันต้องไม่ปล่อยให้อัลกออิดะห์หรือกลุ่มอื่นๆ ใช้ประเทศเป็นฐานปฏิบัติการ
ส่วนอนาคตของประเทศเป็นเรื่องที่คนอัฟกันต้องตัดสินใจกันเอง
ข้อตกลงนี้จึงเป็นข้อตกลงเบื้องต้นสู่สันติภาพในที่สุด
อนาคตของอัฟกานิสถาน :
เมื่อรัฐบาลจอร์จ
ดับเบิลยู บุชนำทัพทำสงครามประกาศว่าจะปราบพวกตาลาบัน อัลกออิดะห์ให้ราบคาบ สถาปนาอัฟกานิสถานที่มี
“เสถียรภาพและสันติ” มาถึงยุครัฐบาลทรัมป์กับไบเดนเหลือเพียงต้องการพาทหารอเมริกันกลับบ้าน
คนอัฟกันต้องดูแลอนาคตของตัวเอง
บางคนวิเคราะห์ว่ารัฐบาลทรัมป์กับไบเดนต้องการแค่ได้พาทหารกลับบ้าน
ได้ประหยัดงบประมาณส่วนนี้ ส่วนอนาคตประเทศ ผลต่อภูมิภาค
ผลในภาพกว้างไม่ถูกเอ่ยถึง ซึ่งคงไม่ผิดถ้ายึดหลักอเมริกาต้องมาก่อน (America
First) เพราะหลักการนี้ขอเพียงอเมริกาได้ประโยชน์ อยู่รอดปลอดภัย
ไม่สนใจว่าประเทศอื่นจะเป็นอย่างไร ขอเพียงไม่ขัดผลประโยชน์สหรัฐเป็นอันใช้ได้
ฮามิด การ์ไซ อดีตประธานาธิบดีอัฟกานิสถานพูดอีกมุมว่า
“ชาวอัฟกันต้องตายในสงครามที่ไม่ใช่ของเรา” การทำสงครามในอัฟกานิสถานมี
“เพื่อความมั่นคงของสหรัฐและเพื่อผลประโยชน์ของชาติตะวันตก”
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ
อดีตประธานาธิบดีการ์ไซกล่าวถึงความล้มเหลวของรัฐบาลสหรัฐว่าหลังทุ่มเงินกว่า 1
ล้านล้านดอลลาร์ ทำศึก 2 ทศวรรษ ทุกวันนี้พื้นที่กว่าครึ่งของประเทศยังอยู่ใต้การปกครองของพวกตาลีบัน
ถ้ายึดตามขนาดพื้นที่ ตาลีบันในวันนี้เป็นผู้ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่
สหรัฐสามารถล้มรัฐบาลตาลีบัน
จัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด แต่ครองอำนาจเพียงพื้นที่เล็กๆ บางคนพูดติดตลกว่าได้แค่ดูแลกรุงคาบูลเท่านั้น
ทุกวันนี้รัฐบาลอัฟกานิสถานอยู่ได้เพราะกองทัพสหรัฐคุ้มครอง จึงเป็นคำถามว่าหากสหรัฐถอนกำลัง
รัฐบาลกรุงคาบูลจะอยู่ได้หรือไม่ ต้องไม่ลืมว่าตาลีบันเป็นผู้ปกครองประเทศก่อนหน้าทหารอเมริกันกับพวกเข้ามา
ถ้ามองจากมุมตาลีบันอาจอธิบายว่าพวกเขาสู้กับทหารอเมริกันและพวกอย่างทรหดถึง
20 ปี แม้ต้องล่าถอยในช่วงแรก บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย แต่สามารถยึดพื้นที่ส่วนใหญ่คืนได้ก่อนทหารอเมริกันกับพวกถอนทัพกลับบ้าน
ประเด็นชัยชนะของสหรัฐ :
ถ้าจะบอกว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของไบเดนคงไม่ใช่
เพราะเมื่อสิ้นรัฐบาลบุชเข้าสู่โอบามา สหรัฐลดทอนกำลังเรื่อยมา พูดได้เพียงว่าท้ายที่สุดสงครามต่อต้านก่อการร้ายในอัฟกานิสถานมาจบลงที่สมัยไบเดนเมื่อประกาศถอนทหารที่เหลืออยู่เพียง
2,500-3,500 นายกลับมาตุภูมิ
ถ้าวิเคราะห์ตามแนวทางนโยบายต่างประเทศสหรัฐ การถอนทหารทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานถือเป็นความสำเร็จ
ตีความว่าไม่มีเหตุต้องคงทหารในประเทศนี้ ตรงกับความต้องการของคนอเมริกันจำนวนมาก รัฐบาลสหรัฐกับตาลีบันตกลงกันได้แล้ว
ตาลีบันในวันนี้เลิกทำสงครามครูเสดกับสหรัฐดังที่เคยประกาศไว้
แต่อัฟกานิสถานกว้างใหญ่
ภูมิประเทศหลายส่วนซับซ้อนนอกการควบคุมของรัฐบาล นอกอำนาจของตาลีบัน
เป็นไปได้หรือไม่ที่อาจมีฐานผู้ก่อการร้ายลับและวันหนึ่งจะไปก่อเหตุในอเมริกา ยุโรป
สงครามต่อต้านก่อการร้ายในอัฟกานิสถานจะเป็นชัยชนะถาวรหรือระยะสั้น
เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
1. Afghanistan’s Karzai tells AP that US cash fed corruption.
(2019, December 11). AP.
Retrieved from https://apnews.com/1419420df4e2e7186222c38db3be707d
2. Interview: Karzai says 12-year Afghanistan war has left
him angry at U.S. government. (2014, March 3). The Washington Post.
Retrieved from http://www.washingtonpost.com/world/interview-karzai-says-12-year-afghanistan-war-has-left-him-angry-at-us-government/2014/03/02/b831671c-a21a-11e3-b865-38b254d92063_story.html
3. Joe Biden Ends the Afghanistan Nightmare. (2021,
Apr 13). The National Interest. Retrieved from https://nationalinterest.org/feature/joe-biden-ends-afghanistan-nightmare-182658
4. Kalic, Sean N. (2013). Terrorism in the twenty-first
century: A new era of warfare. In An International History of Terrorism.
(pp.263-279). Oxon: Routledge.
5. Statement by the President on Afghanistan. (2014, May
27). The White House. Retrieved from
http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2014/05/27/statement-president-afghanistan
6. The U.S. Once Wanted Peace in Afghanistan. (2020, February 29). The Atlantic.
Retrieved from https://tass.com/world/1124783
7. Wahab, Shaista., Youngerman, Barry. (2007). A Brief
History Of Afghanistan. New York: Infobase Publishing.
--------------------------