สันตะปาปากับผู้นำชีอะห์สานสันติภาพโลกแห่งศตวรรษที่ 21
เป็นอีกครั้งที่ผู้นำศาสนาย้ำสันติภาพโลก การอยู่ร่วมกันแม้ต่างศาสนานิกาย ให้ศาสนิกชนดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาที่ถูกต้อง แสวงหาสันติภาพ ไม่ใช่ความเกลียดชัง
ต้นมีนาคมที่ผ่านมาพระสันตะปาปาฟรานซิสเยือนอิรักอย่างเป็นทางการ
ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น สันตะปาปาประกาศจุดยืนศาสนาหลายข้อ
ย้ำให้ศาสนิกชนทุกนิกายศาสนาละความเกลียดชังต่อกัน มุ่งแสวงหาสันติภาพ
ความสามัคคีแม้ต่างศาสนาความเชื่อ
ย้ำว่าคำสอนแท้คือให้นับถือพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านของตน ให้ทุกคนเห็นว่าพระเจ้าทรงเมตตา
ไม่ใช่เกลียดชังคนอื่น ความเป็นศัตรู ลัทธิสุดโต่ง (extremism) ความรุนแรงไม่ใช่แนวทางศาสนาแต่อย่างไร
และกล่าวถึงอิรักอย่างเจาะจงว่าสันติภาพไม่อาจเกิดขึ้นหากชาวอิรักมองคนต่างความเชื่อว่าเป็นคนนอก
(other)
6
มีนาคม 2021 เป็นวันประวัตศาสตร์แห่งสันติภาพอีกวันเมื่อพระสันตะปาปาฟรานซิสเยือนแกรนด์
อยาตุลเลาะห์ อาลี ซิสตานีที่บ้านของท่านที่เมืองนาจาฟ (Najaf) อันเป็นศูนย์กลางศาสนาของชีอะห์อิรัก ทั้งคู่ร่วมประกาศการอยู่ร่วมกันโดยสันติ
เป็นปกติที่พระสันตะปาปาจะเสด็จเยือนประเทศต่างๆ หนึ่งในภารกิจสำคัญคือพบปะผู้นำศาสนานิกายอื่นๆ
สานสัมพันธ์ ประกาศสันติภาพ การอยู่ร่วมกันโดยสันติ จะเห็นว่าในขณะที่ผู้นำประเทศบางคนสร้างพันธมิตรเพื่อทำสงครามแต่ฝ่ายศาสนาสานสัมพันธ์เพื่อสันติภาพโลก
สันตะปาปาฟรานซิสให้สัมภาษณ์โดยยกคำพูดของอยาตุลเลาะห์
อาลี ซิสตานีว่า “มนุษย์ล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งจากศาสนาหรือไม่ก็การทรงสร้าง
(ของพระเจ้า)” และชี้ว่าการพบปะครั้งนี้เป็นการส่งสารสากลสู่โลก (universal
message) เป็นสารร่วมระหว่างศาสนาคริสต์กับอิสลาม
แถลงการณ์ของแกรนด์
อยาตุลเลาะห์ อาลี ซิสตานี ความตอนหนึ่งระบุว่าท่านได้กล่าวต่อสันตะปาปาว่าพวกนับถือคริสต์ในอิรักสมควรอยู่อย่างสันติปลอดภัยและได้รับสิทธิตามรัฐธรรมนูญทุกประการ
พร้อมปกป้องพวกนับถือคริสต์จากผู้ก่อการร้าย (ในบริบทหมายถึงไอซิส)
อยาตุลเลาะห์ซิสตานีชี้ว่าผู้นำจิตวิญญาณคือผู้ยับยั้งโศกนาฏกรรม
หลีกเลี่ยงสงคราม ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากผู้ปกครองประเทศ เคารพสิทธิของประชาชนทุกหมู่เหล่าที่จะใช้ชีวิตอย่างเสรีและมีศักดิ์ศรี
(dignity)
สารสันติภาพของสันตะปาปากับผู้นำจิตวิญญาณชีอะห์ไม่ใช่เรื่องเฉพาะ
2 ศาสนานิกายเท่านั้น เป็นการประกาศว่าทุกศาสนานิกายรักสันติ ปรารถนาอยู่ร่วมกันแม้ต่างความเชื่อ
ศาสนากับทฤษฎีสัจนิยม :
ผู้นำจิตวิญญาณทั้ง
2 ท่านเอ่ยความแตกต่างระหว่างศาสนากับผู้ปกครองประเทศบางคน
ศาสนาสอนให้อยู่ร่วมกันโดยสันติ ส่วนผู้ปกครองคิดถึงสันติเช่นกันแต่เป็นสันติในกรอบประชาชนตนเอง
ผู้ปกครองหลายประเทศย้ำเน้นความมั่นคงปลอดภัยของประเทศตามแนวสัจนิยม (Realism)
ทฤษฏีสัจนิยม
(Realism) ยึดหลักว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นผู้ที่เหตุผลความคิดไม่สมบูรณ์
นำสู่การใช้กำลังเมื่อผลประโยชน์ขัดกัน เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน เพื่อความอยู่รอดควรทำทุกอย่างแม้กระทั่งชิงลงมือบั่นทอนทำลายประเทศอื่นก่อน
การที่สัจนิยมตีความบริบทโลกที่รัฐต่างๆ
จ้องทำร้ายทำลายอีกฝ่าย เป็นแหตุรัฐทั้งหลายให้ความสำคัญกับนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐมากที่สุด
เพราะที่สุดแล้วไม่มีประเทศใดองค์กรระหว่างประเทศใดที่จะประกันความอยู่รอด
มุมมองเช่นนี้สร้างความหวาดระแวงต่อกันไม่จบสิ้น
สัจนิยมเห็นว่าไม่ควรยึดหลักศาสนาความเชื่อเต็มที่
ควรหาจุดสมดุลของผลประโยชน์และยุติความขัดแย้ง
พยายามสร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุลในโลกพหุสังคม ไม่ยึดอุดมคติที่เลื่อนลอย
ยอมรับสิ่งที่ชั่วร้ายน้อยกว่าแทนความดีสัมบูรณ์ (absolute good) แนวคิดอยู่รอดร่วมกันเป็นความคิดของคนอ่อนต่อโลก ยึดหลักว่ามนุษย์ทั่วไปใจบาปหยาบช้าคิดแต่ประโยชน์ตัวเองพร้อมเอาเปรียบผู้อื่น
คิดหาสารพัดกลโกง เห็นด้วยกับใช้ความรุนแรง ถ้าหลอกไม่สำเร็จก็ต้องเข้าปล้นชิง
โลกทัศน์ในแบบศาสนากับสัจนิยมจึงต่างกัน
ต้องยอมรับว่าผู้ปกครองประเทศส่วนใหญ่ยึดแนวสัจนิยม เป็นที่มาของความขัดแย้ง
สงคราม ฯลฯ ดังปรากฏในปัจจุบัน
ตรงข้ามกับแนวคิดนี้คือการแสวงหาความร่วมมือผูกพันในมิติต่างๆ
ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ในทุกระดับตั้งแต่ระดับรัฐจนถึงประชาชน
หากดำเนินนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่องโอกาสที่ทำสงครามจะลดน้อยลงเรื่อยๆ
การสานสันติภาพร่วม 2 ผู้นำจิตวิญญาณส่งผลต่อความขัดแย้งระหว่างศาสนาด้วย
ทั้งคู่ย้ำชัดให้อยู่ร่วมกันโดยสันติแม้ต่างความเชื่อ
ความขัดแย้งระหว่างศาสนาเป็นอีกประเด็นที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลและคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
สงครามครูเสด (ค.ศ.1097-1291) เป็นหนึ่งเรื่องราวที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาพูดซ้ำ
ทุกวันนี้มีนักการศาสนา นักการเมือง
นักวิชาการบางคนบางกลุ่มพยายามปลุกกระแสสงครามครูเสดใหม่ (neo-crusade) ซึ่งมักตีความว่าคือความขัดแย้งระหว่างพวกตะวันตกที่นับถือคริสต์กับมุสลิม
เซมวล
พี. ฮันติงตัน (Samuel P. Huntington) นักวิชาการเลื่องชื่อสหรัฐแต่งหนังสือ
“การปะทะกันระหว่างอารยธรรมและการจัดระเบียบโลกใหม่”
(The Clash of Civilizations and the Remaking of World Order) ชี้ว่าความขัดแย้งหลังยุคสงครามเย็นคือความความขัดแย้งทางศาสนาวัฒนธรรม
และจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์จะฆ่าฟันทำลายล้างกันด้วยเหตุนี้
ชี้ว่าอนาคตจะเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับอิสลาม
ทั้งนี้ไม่ใช่ปัญหาจาก “การนำเอาหลักการอิสลามมาปฏิบัติใช้อย่างถูกต้อง”
(Islamic fundamentalism) หรือ “พวกยึดมั่นในหลักอิสลาม”
เท่านั้น แต่คือการมีปัญหากับอิสลาม
(หมายถึงอิสลามในความหมายครอบคลุม)
เหตุเพราะต่างเห็นว่าตนเป็นอารยธรรมที่สูงส่งกว่า
หลักคิดของฮันติงตันสรุปรวบยอดได้ว่าโลกกำลังแบ่งแยกด้วยศาสนา
ในอนาคตศาสนาจะเป็นตัวแทนประเทศ เป็นตัวแทนกลุ่มประเทศ (ที่ใช้คำว่า “อารยธรรม”)
ความสัมพันธ์และความขัดแย้งทั้งสิ้นตั้งอยู่บนเหตุผลเรื่องศาสนาเป็นหลัก ถ้าเข้ากันได้จะร่วมมือกัน
ถ้าเข้ากันไม่ได้จะขัดแย้งกัน ถึงขั้นทำสงครามระหว่างอายธรรม
ข้อวิพากษ์คือทุกวันนี้ผู้นับถือคริสต์ในสหรัฐกับยุโรปนับวันจะลดน้อยลง
คนที่ยึดมั่นศาสนาความเชื่อลดน้อยลง อีกทั้งมุสลิมในยุโรปเพิ่มมากขึ้นทุกที ดังนั้นจะบอกว่าประเทศสหรัฐกับชาติยุโรปเป็นตัวแทนศาสนาคริสต์ไม่น่าจะถูกต้องและไม่ถูกต้องอยู่แล้ว
(สหรัฐไม่มีศาสนาประจำชาติ รัฐธรรมนูญให้เสรีภาพการนับถือศาสนา
พลเมืองอเมริกันนับถืออิสลามหลายล้านคน)
การพูดถึงสงครามศาสนาเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองประเทศ
นักการเมือง นักวิชาการ นักการศาสนาบางคนบางกลุ่มบิดเบือน
พยายามย้อนประวัติศาสตร์สงครามครูเสดอย่างที่ต้องการ
หวังปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา คนเหล่านี้หวังใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายของตน
เพราะรู้ดีว่าศรัทธาเป็นพลังอันแรงกล้าสามารถผลักดันคนให้ทำสิ่งต่างๆ
ทั้งสันตะปาปากับผู้นำจิตวิญญาณชีอะห์ประกาศชัดว่าทุกศาสนานิกายสามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ละความเกลียดชังต่อกัน ไม่สนับสนุนความขัดแย้งทางศาสนา ไม่มีครูเสดอีกแล้ว
การปะทะทางวัฒนธรรมเป็นแนวทางบิดเบือนศาสนา
การพบปะพูดคุยระหว่าง
2 ผู้นำศาสนาที่ประเทศอิรักรอบนี้ เป็นอีกครั้งที่ผู้นำศาสนาย้ำสันติภาพโลก
การอยู่ร่วมกันแม้ต่างศาสนา และเป็นอีกครั้งที่ผู้นำศาสนาย้ำให้ศาสนิกชนดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาที่ถูกต้อง
แสวงหาสันติภาพไม่ใช่ความเกลียดชัง
ผู้เข้าถึงสติปัญญาจะพบว่าสันติภาพแท้เริ่มต้นในใจเรา
--------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง:
ทรัมป์กับ The Clash of Civilizations ของฮันติงตัน
บทความนี้วิเคราะห์การหาเสียงของทรัมป์ในประเด็น “อิสลามหัวรุนแรง” ที่เชื่อมโยงกับแนวนโยบายของพรรครีพับลิกัน เชื่อมโยงกับแนวคิดการปะทะกันระหว่างอารยธรรมของฮันติงตันที่นับวันจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น (หรือถูกชักนำให้เข้าใจ) ในความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์กับอิสลาม ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะยอมรับหรือไม่ว่าคือส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์แม่บท
ความเชื่อศาสนาคริสต์ไม่ใช่ตัวแทนของอารยธรรมตะวันตก เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ระบบการค้าอิงหลักคุณธรรมไม่ใช่ความโลภ ความมั่งคั่งมีเพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ปัจเจกมีเสรีภาพแต่เป็นเสรีภาพภายใต้หลักศาสนา ส่วนอิสลามเน้นรักสันติ ไม่สุดโต่ง มุสลิมทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นผู้รักสันติ ไม่ใช่พวกสุดโต่งหัวรุนแรง ต่อต้าน IS อัลกออิดะห์ แต่ฮันติงตันยังพยายามชักนำให้เกิดสงครามศาสนา
จุดอ่อนของฮันติงตันใน The Clash of Civilizations (3)
บางครั้งการวิเคราะห์โดยตั้งอยู่บนศาสนาสร้างความสับสนไม่น้อย ยกตัวอย่าง ชายพุทธคนหนึ่งข่มขืนแล้วฆ่าหญิงชาวพุทธ อย่างนี้เป็นประเด็นศาสนาหรือไม่ อเมริกาคือประเทศที่มีสถิติข่มขืนสูงมาก จะอธิบายว่าพวกคริสต์มักข่มขืนพวกคริสต์ด้วยกันเองหรือไม่ ควรอธิบายอย่างนี้หรือไม่ว่าถ้าชายบ้ากามคนนี้ข่มขืนหญิงศาสนาเดียวกันก็เพราะ “ความบ้ากาม” แต่ถ้าข่มขืนหญิงต่างศาสนาจะกลายเป็น “การปะทะระหว่างอารยธรรม”
บรรณานุกรม:
1. AS IT HAPPENED: Pope Francis meets Grand Ayatollah Ali
Al-Sistani. (2021, March 6). Arab
News. Retrieved from https://www.arabnews.com/node/1820746/middle-east
2. Huntington, Samuel P. (1996/2011). The Clash of
Civilizations and the Remaking of World Order. New York: Simon &
Schuste.
3. Morgenthau, Hans J., Kenneth, Thompson. (1993). Politics
among Nations: The Struggle for Power and Peace (6th ed.). New York: McGraw-Hill, Inc.
4. Pope Francis meets Iraq's Grand Ayatollah Al-Sistani. (2021, March 6). Vatican News.
Retrieved from https://www.vaticannews.va/en/pope/news/2021-03/pope-francis-meets-grand-ayatollah-al-sistani.html
5. The Pope-Sistani riddle. (2021, March 9). Asia Times.
Retrieved from https://asiatimes.com/2021/03/the-pope-sistani-riddle/
6. Tyerman, Christopher. (2009). The Crusades: A Brief
Insight. New York: Sterling Publishing.
--------------------------