ประชาธิปไตยเมียนมาในวัยเตาะแตะ
ในมุมของกองทัพแผนสร้างประชาธิปไตยเมียนมาคือรัฐบาลพลเรือนที่กองทัพมีบทบาทร่วมดูแลบริหารประเทศ แต่ความเป็นประชาธิปไตยมีมากกว่าการเป็นรัฐบาลพลเรือนหรือเป็นรัฐบาลทหาร
เลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2020 พรรค National League for Democracy (NLD) ของนางออง ซาน ซู จี (Aung San Suu Kyi) ชนะถล่มทลายได้ 920 จาก 1,117 ที่นั่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (พรรคทหารคงได้เป็นฝ่ายค้าน) ขณะที่ฝ่ายกองทัพชี้ว่าเลือกตั้งไม่สุจริต อย่างไรก็ตามนับจากวันเลือกตั้งจนข้ามปีความพยายามจัดตั้งรัฐบาลยังคงเดินหน้า กำหนดเปิดประชุมรัฐสภา 1 กุมภาพันธ์ทั้งๆ ที่ฝ่ายกองทัพขอให้เลื่อนการเปิดรัฐสภาไปก่อน และกลายเป็นวันที่กองทัพเข้ายึดอำนาจ U Myint Swe รักษาการประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 1 ปีตามรัฐธรรมนูญปี 2008 โอนอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจฝ่ายบริการและอำนาจตุลาการมาอยู่ที่ ผบ.สส. พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ซึ่งเป็นการทำตามรัฐธรรมนูญเช่นกัน
ย้อนหลังพฤศจิกายนปีก่อนมีข่าวผู้นำกองทัพขู่ขับประธานาธิบดีเมียนมาออกจากตำแหน่ง
กองทัพชี้ว่าการเตรียมเลือกตั้งส่อผิดปกติ การยึดอำนาจรอบนี้เป็นไปได้ว่าฝ่ายซู จี
รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรแต่ทั้งกองทัพกับซู จี ยังเลือกเดินหน้าเพื่อให้ปรากฏผลอย่างที่เห็น
เป็นแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองที่ทั้ง 2 ฝ่ายเลือกเดิน
การที่กองทัพไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง เรื่องนี้เคยเกิดกับซู จี มาก่อนเมื่อพฤษภาคม
1990 ที่พรรค NLD ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย
หลายปีต่อมากองทัพปรับท่าทีเปิดทางให้พลเรือน
พฤศจิกายน 2010 พรรคของกองทัพชนะเลือกตั้ง ซู จีเป็นฝ่ายค้านตามด้วยการปล่อยตัวซู
จี และเธอได้เป็น ส.ส. จากการเลือกตั้งซ่อม
พฤศจิกายน
2015 เลือกตั้งรอบนี้ NLD ชนะเลือกตั้งแต่ฝ่ายกองทัพยังกุมอำนาจหลายส่วนตามรัฐธรรมนูญฉบับ
2008 ซู จี ในตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล
การเลือกตั้งล่าสุดพฤศจิกายน
2020 ที่ล่วงเลยจนตอนนี้ซ้ำรอยเดิมตอกย้ำอำนาจ “กองทัพ”
ขอแก้รัฐธรรมนูญรอยแตกกองทัพกับซู จี
:
รัฐธรรมนูญ
2008 ฉบับปัจจุบันออกแบบมาเพื่อรักษาอำนาจอิทธิพลของผู้นำกองทัพ
อีกทั้งบัญญัติว่า 25%
ของที่นั่งในสภาฝ่ายกองทัพเป็นผู้แต่งตั้ง เพียงพอที่จะยับยั้งการแก้รัฐธรรมนูญ (การแก้รัฐธรรมนูญต้องมีเสียงไม่ต่ำกว่า
75%) เป็นเหตุผลหนึ่งที่ฝ่ายกองทัพยอมให้จัดเลือกตั้ง NLD เป็นพรรคร่วมรัฐบาลให้ซู จี มีบทบาทสำคัญในรัฐบาล แต่ฝ่ายซู จี ไม่หยุดเท่านี้เริ่มเอ่ยขอแก้รัฐธรรมนูญ
ฝ่ายกองทัพแสดงท่าทีหลายครั้ง เช่น กุมภาพันธ์ 2019 เตือนว่าการปรับแก้รัฐธรรมนูญต้องไม่ทำลายหลักสำคัญที่อยู่ในรัฐธรรมนูญเดิม
หนึ่งในนั้นคือปิดกั้นไม่ให้ซู จี ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ตุลาคม
2019 ออง ซาน ซู จี กล่าวว่าฝ่ายกองทัพไม่กระตือรือร้นแก้รัฐธรรมนูญ แม้กองทัพพูดซ้ำหลายรอบว่าจำต้องแก้เพื่อได้ประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
เธอจะยื่นเรื่องขอแก้อีกครั้งหลังเลือกตั้ง 2020 (เลือกตั้งที่ผ่านมานั่นเอง)
จะเห็นว่า กองทัพพยายามชี้ว่าห้ามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจพวกตน ดูเหมือนซู
จี ก้าวข้ามเส้นต้องห้าม ผลการเลือกตั้งและการเดินหน้าเปิดสภาคือตัวชี้ขาดว่ากองทัพต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในมุมมองกองทัพเป็นไปได้ว่าการตัดไฟแต่ต้นลมย่อมดีกว่า อย่างไรก็ตามเมียนมาคงไม่ถอยกลับสู่ยุคปิดประเทศอีก
มีผู้อธิบายว่าการเปิดต้อนรับนักลงทุนสร้างผลกำไรมหาศาลจากการขายทรัพยากร ผลประโยชน์ก้อนใหญ่มักตกอยู่ในมือของผู้มีอำนาจมากกว่าที่จะเข้ากระเป๋ารัฐบาล
การลงทุนหลายอย่างถูกควบคุมจากอำนาจที่มีอาวุธในมือ
ทุกคนได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศต่างกันที่ใครได้มากกว่า
และควรพูดด้วยว่าต่างชาติอยากให้เปิดเช่นกัน
การขับเคี่ยวของผู้นำการเมือง 2 กลุ่ม :
ความกลัวสูญเสียอำนาจน่าจะเป็นเหตุให้กองทัพต้องกระทำการในครั้งนี้ พูดอีกอย่างคือเป็นปฏิบัติการรักษาอำนาจกองทัพเหมือนที่ทำเรื่อยมา
จากนี้อีก
1 ปีหรือหลายปี ฝ่ายกองทัพน่าจะปล่อยให้จัดเลือกตั้งใหม่อีกรอบ
อาจตีความว่าเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนส่วนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของแผนเปิดประเทศสู่ความทันสมัย
หรืออาจตีความว่าคือวิธีการรักษาอำนาจกองทัพให้คงอยู่ตลอดไป
การขับเคี่ยวระหว่างฝ่ายกองทัพกับฝ่ายซู
จี จะดำเนินต่อไป ทั้งนี้ต้องดูว่าซู จี ในวัย 75 ยังสู้ได้อีกกี่ปี ในอนาคตมีผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้มแข็งมากพอหรือไม่
ด้านกองทัพที่การส่งทอดอำนาจเป็นระบบต้องดูว่ามีเอกภาพเพียงใด เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อประชาธิปไตยวัยเตาะแตะของประเทศนี้
ประชาธิปไตยในกรอบที่กว้างขึ้น :
ถ้าจะพูดถึงความเป็นประชาธิปไตยในกรอบที่กว้างขึ้น
หนึ่งในประเด็นที่ควรเอ่ยถึงคือเรื่องโรฮีนจา (Rohingya) ธันวาคม
2019 ออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา (State Counselor) เป็นตัวแทนรัฐบาลนำทีมกฎหมายต่อสู้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ว่ารัฐบาลเมียนมาไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮีนจา หลังคณะทำงานของสหประชาชาติมีข้อสรุปว่ามี
“เจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” (genocidal intent) โรฮีนจากว่า 730,000 คนหนีออกจากประเทศ
ซู
จี ชี้แจงว่ารัฐบาลปฏิบัติต่อโรฮีนจาอย่างถูกต้อง เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งภายในประเทศ
(internal conflict) ไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประเด็นนี้อาจมองว่าซู
จี ซึ่งมักเป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมงานระหว่างประเทศเป็นประจำ มีความรู้ความสามารถได้รับการยอมรับจากนานาชาติกำลังทำหน้าที่นี้อีกครั้ง
ช่วยแก้ข้อกล่าวหาที่นานาชาติประณามผู้นำกองทัพ ในขณะเดียวกันต้องเข้าใจด้วยว่าพรรคของซู
จี ต่อต้านโรฮีนจาเช่นกัน
ในสายตาของหลายประเทศ องค์กรสิทธิมนุษยชน ประเด็นโรฮีนจาเป็นจุดอ่อนประชาธิปไตยเมียนมา
แต่สำหรับฝ่ายกองทัพกับซู จี ไม่คิดเช่นนั้นเพราะยึดว่าโรฮีนจาไม่ใช่พลเมือง
เมษายน
2012 ฮิลลารี คลินตันขณะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกล่าวว่า “อนาคตของพม่าไม่ชัดเจนและไม่แน่นอน” ความจริงแล้วการปฏิรูปตอนนี้จำกัดอยู่ในเมืองหลวงกับเมืองใหญ่ๆ
เท่านั้น แต่ในพื้นที่ชนกลุ่มน้อย ทหารรัฐบาลยังต่อสู้กับพวกคะฉิ่น
การละเมิดสิทธิมนุษยชนโรฮีนจายังดำเนินต่อไป
ถ้าจะพูดว่ามีรัฐบาลพลเรือนเท่ากับมีประชาธิปไตย
ความคิดเช่นนี้ดูเหมือนจะมองแคบเกินไป เหมือนจำกัดกรอบให้เลือกระหว่าง”ซู จี” กับ
“กองทัพ” เลือกระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” ความจริงแล้วมีอีกหลายประเด็นที่บ่งชี้อยู่แล้วว่าเมียนมาในยามนี้มีความเป็นประชาธิปไตยมากเพียงไร
ทั่วโลกรับรู้กันทั่วไปอยู่แล้ว
มกราคม 2010 นายกรัฐมนตรี เต็ง เส่ง (Thein
Sein) ประกาศว่าจะมีเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนพร้อมกับกล่าวว่า
รัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลพลเรือนที่กองทัพมีบทบาทร่วมดูแลบริหารประเทศ
ตามแผนสร้างประชาธิปไตยเมียนมา
จะเห็นว่าหลักการนี้ยังไม่เปลี่ยน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อต้นกุมภาพันธ์ตอกย้ำจุดยืนกองทัพ
ถ้ายึดประชาธิปไตยเป็นที่ตั้ง
เมียนมาเป็นอีกตัวอย่างที่การสร้างประชาธิปไตยต้องใช้เวลา ไม่มีสูตรสำเร็จ
บางประเทศไม่เคยฉีกรัฐธรรมนูญขณะที่บางประเทศต้องฉีกหลายรอบ ยึดอำนาจหลายครั้ง และถ้าพูดประชาธิปไตยในกรอบที่ไกลกว่าใครเป็นผู้นำรัฐบาล
เห็นได้ชัดว่าหนทางนั้นอีกยาวไกล และอาจเป็นการตั้งโจทย์ผิด
--------------------
1. Amendments Should Not Harm Essence of Constitution,
Military Warns. (2019, February 23). Irrawaddy. Retrieved from
https://www.irrawaddy.com/news/burma/amendments-not-harm-essence-constitution-military-warns.html
2. Aung San
Suu Kyi defends Myanmar against genocide allegations. (2019, December 11). Al
Jazeera. Retrieved from https://www.aljazeera.com/news/2019/12/myanmar-suu-kyi-stand-genocide-case-hague-191211054254397.html
3. Daw Aung San Suu Kyi Acknowledges Myanmar Military’s
Unwillingness to Reform Charter. (2019, October 23). The Irrawaddy. Retrieved
from https://www.irrawaddy.com/news/burma/daw-aung-san-suu-kyi-acknowledges-myanmar-militarys-unwillingness-reform-charter.html
4. Daw Aung San Suu Kyi to Contest Rohingya Genocide Case at
World Court. (2019, November 21). The
Irrawaddy. Retrieved from https://www.irrawaddy.com/news/burma/daw-aung-san-suu-kyi-contest-rohingya-genocide-case-world-court.html
5. Key events in Myanmar, long under military rule. (2020, February 2). AP. Retrieved
from https://apnews.com/article/key-events-timeline-myanmar-dee0f68fa82b5f7729191d1bf7beec84
6. Myanmar Military Seizes Power. (2020,
February 1). The Irrawaddy. Retrieved from https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmar-military-seizes-power.html
7. U.S. Department of State. (2012, April 25). U.S. Policy
Toward Burma, Statement Before the House Committee on Foreign Affairs
Subcommittee on Asia and the Pacific. Retrieved from
http://www.state.gov/p/eap/rls/rm/2012/188446.htm
8. U.S. Department of State. (2013, February28). Human
Rights in Burma. Retrieved from http://www.state.gov/j/drl/rls/rm/2013/205475.htm
--------------------------