หลักแบ่งแยกแล้วปกครอง (divide and rule)
คือการทำให้ศัตรูอ่อนแอด้วยการยุยงปลุกปั่น ให้คนในสังคมขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ไม่อาจหาทางออกด้วยสันติวิธี เพื่อเจ้าของยุทธศาสตร์จะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ เช่น เข้าไปมีอิทธิพลครอบงำปกครอง
หลักแบ่งแยกแล้วปกครอง (divide and rule หรือ divide and conquer) คือการทำให้ศัตรูอ่อนแอด้วยการยุยงปลุกปั่น สร้างความแตกแยก บ่อนทำลายความสามัคคี คนในสังคมขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ไม่อาจหาทางออกด้วยสันติวิธี เกิดการต่อสู้ทางความคิดจนถึงขั้นใช้อาวุธสงคราม เพื่อเจ้าของยุทธศาสตร์จะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ เช่น เข้าไปมีอิทธิพลครอบงำ ยึดครอง ปกครอง
กรณีศึกษาจากประวัติศาสตร์ : หลักแบ่งแยกแล้วปกครองเป็นที่นิยมใช้ตั้งแต่โบราณกาล
การศึกษาตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ช่วยให้เข้าใจมากขึ้น ดังนี้
กรณีการแบ่งแยกออตโตมัน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่
1 ออตโตมันอยู่ฝ่ายเยอรมนีและเป็นผู้ครอบครองอาหรับ รัฐบาลอังกฤษสัญญาว่าจะให้อาณาจักรอาหรับ
(Arab kingdom) เป็นอิสระจากออตโตมัน ผู้นำอาหรับสมัยนั้น
ฮุสเซน บิน อะลี (Hussein bin Ali, 1856–1931) จึงนำชาวอาหรับต่อต้านพวกเติร์ก
พวกเติร์ก (Turks – สายเจ้าผู้ปกครองออตโตมัน)
กับพวกอาหรับ (Arabs) แม้มีศาสนาอิสลามร่วม
แต่ด้วยความแตกต่างทางเชื้อชาติ ประวัติศาสตร์
ความต้องการส่วนตัวของผู้ปกครองจึงเกิดความบาดหมาง ในสมัยนั้นดินแดนชายฝั่งติดทะเลของคาบสมุทรอาระเบียเป็นของออตโตมันเกือบหมด
ยกเว้นคูเวต โอมานและฝั่งติดทะเลภาคใต้
ดินแดนที่เป็นซีเรียเดิมซึ่งประกอบด้วยซีเรีย อิรัก จอร์แดน เลบานอน
อิสราเอลเป็นของออตโตมันด้วย
รัฐบาลอังกฤษกับฝรั่งเศสหวังใช้สงครามเพื่อแยกจักรวรรดิออตโตมันให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ใช้คือสนับสนุนพวกชาตินิยมอาหรับ เพื่อให้คนท้องถิ่นทำสงครามต่อต้านออตโตมัน
โดยที่อังกฤษกับฝรั่งเศสไม่คิดจะให้อาหรับเป็นอิสระอย่างแท้จริง รัฐบาลอังกฤษกับฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักล่าอาณานิคมใช้
“ลัทธิชาตินิยมที่มีเป้าหมายปลดปล่อยตัวเองจากการเป็นอาณานิคม” เป็นเครื่องมือล่าอาณานิคม
ในมุมอาหรับเป็นช่วงที่ลัทธิชาตินิยมอาหรับมาแรง
อาจมีอิทธิพลไม่น้อยกว่าศาสนาเพราะออตโตมันนับถืออิสลามเช่นเดียวกัน
แต่พวกอาหรับยังต้องการเป็นประเทศเอกราช พ้นจากอำนาจผู้ปกครองเติร์ก
เกิดสงครามเข่นฆ่าระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง และเมื่อเยอรมนีแพ้สงคราม
สิ้นจักรวรรดิออตโตมัน อังกฤษมิได้รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับพวกอาหรับ
กรณีอังกฤษแบ่งแยกอินเดีย
อินเดียมีแผ่นดินกว้างใหญ่ ประชากรมหาศาล รัฐบาลอังกฤษผู้เป็นเจ้าอาณานิคมใช้วิธีทำให้อินเดียอ่อนแอด้วยการสร้างความเกลียดชังในหมู่คนอินเดียด้วยกัน
คนอินเดียจมอยู่ในความขัดแย้งกันเองแทนที่จะร่วมกันต่อต้านอังกฤษที่เข้ามาปกครองพวกตน
วิธีการของรัฐบาลอังกฤษเริ่มต้นด้วยการทำสำมะโนประชากรแยกแยะว่าใครอยู่ที่ไหน
ชาติพันธุ์ใด นับถือศาสนานิกายใด อังกฤษสอนให้คนอินเดียยึดมั่นชาติพันธุ์ศาสนานิกายของตน
แต่เดิมอินเดียเป็นพหุสังคมมีศาสนานิกายมากมาย แม้มีความขัดแย้งแต่ยังอยู่ร่วมกันได้ มาบัดนี้ความขัดแย้งทั้งจากชาติพันธุ์
นิกายศาสนากำลังบาดลึกรุนแรง
การสร้างความขัดแย้งในหมู่ชนชนปกครองเป็นอีกวิธีที่ใช้
รวมทั้งยุยงให้คนท้องถิ่นเกลียดชังชนชั้นปกครอง เช่น ที่เบงกอล (Bengal – แถบบังคลาเทศในปัจจุบัน) ประชาชนประท้วงร้องขอให้คนท้องถิ่นมีส่วนปกครองมากขึ้น
รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนคนท้องถิ่นที่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมผู้ยากไร้ลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครองที่เป็นคนเชื้อสายอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู
สังเกตว่ารัฐบาลอังกฤษใช้เหตุผลที่ดูดี
คือให้คนยากจนต่อต้านคนมั่งมี ประชาชนมีอำนาจปกครองตนเองมากขึ้น
และประเด็นความแตกต่างทางศาสนา
แต่เป้าหมายเบื้องหลังที่อังกฤษต้องการไม่ใช่เรื่องลดความเหลื่อมล้ำ
ให้เสรีประชาธิปไตย แต่ให้ประเทศอินเดียวุ่นวายเพื่อตนจะได้ปกครองต่อไป
ผลประการหนึ่งที่ตามมาคือเกิดพรรคมุสลิมที่ต่อต้านพรรคของพวกฮินดูในรัฐสภา
เกิดขบวนการเคลื่อนไหวของมุสลิมทั่วประเทศ เรียกร้องสิทธิมุสลิมตามแนวทางของ Mohammed
Ali Jinnah และเกิดกระแสแบ่งแยกดินแดนอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายฮินดูตอบโต้ด้วยการจัดตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวของตนที่เรียกว่า
Hindu Mahasabha เพื่อรักษาสิทธิของพวกฮินดูบ้าง พวกมุสลิมกับฮินดูที่เคลื่อนไหวต่างชิงชังต่อกัน
ประเทศชาติอ่อนแอ เป็นเหตุผลที่อังกฤษเจ้าอาณานิคมสามารถฉกฉวยผลประโยชน์จากประเทศใหญ่โตนี้ถึง
90 ปี และลงเอยด้วยอินเดียถูกแบ่งแยกดินแดนออกไป เกิดปากีสถานกับบังคลาเทศ
(ชื่อเดิมปากีสถานตะวันออก) ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
กรณีแบ่งแยกอาณานิคมแอฟริกาของฝรั่งเศส
ค.ศ.1958 รัฐบาลฝรั่งเศสเห็นสมควรปลดปล่อยอาณานิคมของตนในแอฟริกา
แต่การปลดปล่อยใช้ยุทธศาสตร์แบ่งแยกแล้วปกครอง แบ่งแอฟริกาตะวันตกของฝรั่งเศส (French
West Africa) และอาณานิคมแอฟริกาที่อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร (French
Equatorial Africa federations) ออกเป็น 13 ประเทศ ยาพิษร้ายแรงที่รัฐบาลฝรั่งเศสทิ้งไว้คือประเทศที่แบ่งใหม่ประกอบด้วยหลายชาติพันธุ์
คนเหล่านี้ไม่คุ้นกับการมีผู้นำร่วม รัฐบาลที่สามารถควบคุมให้ประเทศมีเสถียรภาพคือรัฐบาลที่ใช้หลักอำนาจนิยม
ผลเสียคือบางครั้งได้ผู้นำที่ไม่ได้เอาใจใส่ประชาชนทุกกลุ่ม เกิดรัฐประหารบ่อยครั้ง
เกิดสงครามกลางเมืองอยู่เสมอ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ประเทศยากจนพัฒนาไม่ได้
ในกรณีนี้การแบ่งแยกแล้วปกครองคือจัดแบ่งสังคมในลักษณะไม่เอื้อต่อการปกครอง
จำต้องให้อดีตเจ้าอาณานิคมช่วยเหลือต่อไป
Thomas C.
Mountain ชาวแอฟริกาตั้งข้อสังเกตว่าการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยตะวันตก
คือการแบ่งแยกแล้วปกครอง ยุยงให้สังคมแตกแยกต่อสู้กันเอง บางครั้งลงเอยด้วยสงครามกลางเมือง
ทำให้แอฟริกาอ่อนแอไม่จบไม่สิ้น เป็นยุทธศาสตร์ของพวกจักรวรรดินิยม
Mountain
อธิบายว่าก่อนใช้ระบอบประชาธิปไตย
ประเพณีของชาวบ้านคือการพูดคุยหาทางออกด้วยฉันทามติ (consensus) ไม่มีใครได้ทุกอย่างหรือเสียทุกอย่าง ทุกคนยอมรับฉันทามติ
การเลือกผู้นำในหลายประเทศใช้วิธีปรึกษาหารือจนทุกคนยอมรับว่าจะให้ใครขึ้นเป็นผู้นำ
ถ้าหลักคิดประชาธิปไตยคือทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ
ชาวแอฟริกาขอเลือกที่จะไม่เอาระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก
ประชาธิปไตยไม่มีประโยชน์ถ้าไม่ช่วยให้คนอิ่มท้อง ได้สวมใส่เสื้อผ้าให้อบอุ่น
เมื่อป่วยแล้วได้รับการรักษา ชีวิตที่สงบสุขตามอัตภาพคือสิ่งที่ประชาชนต้องการ
ประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่น่าสนใจ
หลายประเทศใช้ได้ผลดี แต่ทุกวันนี้นักวิชาการยอมรับแล้วว่าจะได้ผลดีมากน้อยขึ้นกับวัฒนธรรมสังคม
บริบทแวดล้อมด้วย
ฝ่ายจักรวรรดินิยม
นักล่าอาณานิคมผู้รุกรานหวังสร้างความแตกแยกจากประเด็นที่ปลุกเร้าได้ เช่น ใช้กระแสชาตินิยมปลุกเร้าแบ่งแยกชาติพันธุ์
ใช้ความยากจนปลุกเร้าให้ต่อต้านชนชั้นปกครองผู้มั่งมี
และใช้ประเด็นความแตกต่างทางศาสนาความเชื่อ
ในการสร้างความจงเกลียดจงชังจำต้องยุยงปลุกปั่นให้เกิดความอารมณ์แรงกล้า
เช่น จากที่เคยอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยมาเป็นการพยายามเรียกร้องสิทธิของตนเอง
ยอมตายเพื่อชาติหรือลัทธิที่ยึดถือ สามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อื่นหรือคนอื่นที่คิดต่าง
หากจะแก้ปัญหาความยากจนต้องใช้วิธีทำลายคนร่ำรวย อยู่ร่วมในหมู่บ้านสังคมเดียวกันไม่ได้อีกแล้วถ้านับถือคนละศาสนานิกายความเชื่อ
ผู้รุกรานพยายามสร้างกระแสความคิดการทำลายล้าง
ทางออกต้องเริ่มด้วยการเข้าใจแผนแบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ตื่นตัวพัฒนาตนเองไม่สิ้นสุด สร้างสังคมที่ทุกคนอยู่ได้แม้คิดต่างเห็นต่างชอบต่าง
ทุกฝ่ายที่เห็นต่างต้องถอยคนละก้าว ปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้อีกฝ่ายยอมรับได้มากขึ้น
แม้มีสิทธิแต่ยอมสละบางส่วนเพื่อส่วนรวม ให้ความสำคัญกับการอยู่รอดของสังคมส่วนรวม
“การให้”
เป็นวิธีที่ทุกคนทำได้ เริ่มจากให้ความรักความเมตตา (แทนความเกลียดชัง)
ไม่คิดว่าตัวเองดีที่สุดเก่งที่สุด (คนอื่นมีดีเหมือนกันเพียงแต่ต่างรสนิยม) ยึดหลักนิติธรรม
คนที่มีมากกว่าควรให้คนขัดสน (คนมีมากกว่าไม่จำต้องเป็นเศรษฐี คนมีข้าวกิน 3
มื้อควรแบ่งให้คนที่มีน้อยกว่า) การช่วยเหลือแบ่งปันต้องเป็นวัฒนธรรมสังคม
ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่แบ่งชาติพันธุ์ศาสนานิกาย
การลงมือทำเท่าที่นั้นคือคำตอบ
---------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
นโยบายเดินเรือเสรี นโยบายจักรวรรดินิยมสหรัฐคำว่าเดินเรือเสรี ฟังดูผิวเผินเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย แต่คำว่าเดินเรือเสรีของรัฐบาลหมายถึงเฉพาะสหรัฐเท่านั้นที่มีความเสรีเป็นพิเศษเหนือประเทศอื่นๆ ส่วนประเทศอื่นๆ ที่เรือจะต้อง “เสรีภายใต้กรอบระเบียบที่วางไว้” ซึ่งเสรีน้อยกว่าของสหรัฐ อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐจะใช้ทุกวิธีเพื่อกดดันบังคับให้นานาประเทศต้องอยู่ภายใต้เสรีตามระเบียบดังกล่าว เป็นตัวอย่างความเป็นจักรวรรดินิยม
1. Bhatnagar, Anurag. (2012). Divide and Rule in British
Raj. Retrieved from http://www.anuragbhatnagar.com/history/divide-and-rule-in-british-raj
2. Copland, Ian. (2001). India 1885-1947: The Unmaking of
an Empire: From Empire to Republic. England: Essex.
3. Erlich, Reese. (2014). Inside Syria: The Backstory of
Their Civil War and What the World Can Expect. New York: Prometheus Books.
4. McKay, John P., Hill, Bennett D., Buckler, John.,
Ebrey, Patricia Buckley., & Beck, Roger B. (2009). A History
of World Societies (8th Ed.). USA: Bedford/St. Martin’s.
5. Mountain, Thomas C. (2013, June 18). Divide and Rule in
Africa. CounterPunch.
Retrieved from http://www.counterpunch.org/2013/06/18/divide-and-rule-in-africa/
6. Sarkar, Sumit. (2014). Modern India 1886-1947.
India: Dorling Kindersley.
--------------------------