นโยบายต่างประเทศของโจ ไบเดนต่อจีน
ที่จะทำคือปิดล้อมจีนต่อไป ต่างกันเพียงแสดงตัวชัดหรือไม่ชัด ใช้ถ้อยคำรุนแรงแค่ไหน ใช้วิธีการอะไร ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่อย่างน้อยมีประเด็นสำหรับใช้หาเสียง ต่อเวลาได้อีก 4 ปีแล้วค่อยว่ากันใหม่
บทความนี้นำเสนอแนวนโยบายต่างประเทศของโจ ไบเดน (Joe Biden) ต่อจีน โดยอ้างอิงฐานข้อมูล คำพูดที่ไบเดนเคยกล่าวไว้พร้อมข้อวิพากษ์โดยสังเขปดังนี้
จีน มิตรหรือศัตรู ... :
ถ้ามองจากมุมสหรัฐที่เป็นชาติมหาอำนาจ
ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจด้วยกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ส่งผลต่อคนอเมริกันมากที่สุด ในช่วงหาเสียงไบเดนใช้คำว่าจีนเป็นคู่แข่งหลักทางยุทธศาสตร์
(main strategic competitor) คำนี้อาจตีความไม่มองจีนในแง่ลบเท่าทรัมป์ที่ประกาศชัดว่าคือ
“ปรปักษ์” (enemy) หรืออาจตีความว่าเป็นการ “ใช้ศัพท์อีกคำ” เท่านั้น
ไบเดนอาจไม่ใช้ถ้อยคำที่ฟังดูดุดันรุนแรงแต่นโยบายที่ทำจริงอาจหนักหน่วงไมน้อยกว่าทรัมป์
กล่าวว่าจะใช้นโยบายที่ได้ผลยิ่งกว่าสมัยทรัมป์
ถ้ามองผ่านทฤษฎีความสัมพันธ์ประเทศ
รัฐบาลสหรัฐมักเลือกใช้แนวทางสัจนิยม (Realism) เป็นหลัก
โลกนี้เป็นโลกแห่งการแข่งขันช่วงชิง ใครดีใครอยู่ ไม่มีความเสมอภาคเท่าเทียม
ในสมัยรัฐบาลโอบามาแสดงท่าทีเป็นมิตรกับสหรัฐ
เกิดการประชุมสุดยอดผู้นำจีน-สหรัฐที่ลงเอยด้วยความหวานชื่น ประกาศว่าจะไม่สร้างความขัดแย้งต่อกัน
จะไว้ใจกัน ร่วมมือกัน แต่รัฐบาลโอบามานี่แหละที่เริ่มยุทธศาสตร์ปักหมุดเอเชีย (Pivot
to Asia) หรือยุทธศาสตร์ปรับสมดุลเอเชียแปซิฟิก (rebalanced
strategy in Asia-Pacific) ร้อยละ 60
ของกองเรือรบสหรัฐและเครื่องบินรบมารวมตัวกันที่เอเชียแปซิฟิก
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครทต่างใช้ยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน
คำถามคือต่างกันอย่างไร (ซึ่งขึ้นกับนโยบายหาเสียง บริบทแต่ละช่วง)
คำถามสำคัญกว่านั้นคือถ้าวิธีเดิมไม่ได้ผลต้องปรับเปลี่ยนอย่างไร
การที่จีนยังคงก้าวขึ้นมาเท่ากับว่าต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นกว่าเดิมใช่หรือไม่ รัฐบาลไบเดนต้องตอบโจทย์ข้อนี้เหมือนรัฐบาลชุดก่อนๆ
สัมพันธ์ผ่านหลายประเทศหลายประเด็น :
นโยบายสำคัญๆ
ที่สหรัฐมีต่อจีนหลายเรื่องไม่ใช่ประเด็นระหว่างสหรัฐกับจีนโดยตรง แต่สัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ
เรื่องที่รัฐบาลสหรัฐให้ความสำคัญ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างบางประเด็น
ประการแรก
กรณีเกาหลีเหนือ
ประเด็นเกาหลีเหนือ (คาบสมุทรเกาหลี) เป็นเรื่องเก่าแก่ตั้งแต่ยุคเริ่มสงครามเย็น
ทหารอเมริกันรบกันทหารจีนอย่างหนักในสงครามเกาหลี รัฐบาลสหรัฐในสมัยนั้นคิดใช้ระเบิดนิวเคลียร์เพื่อหยุดกองทัพจีน
(ไม่กี่ปีหลังใช้กับญี่ปุ่น)
ปัจจุบันเป็นเรื่องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
จุดยืนสุดท้ายของรัฐบาลทรัมป์คือเกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์แต่ยังไม่สามารถบรรจุหัวรบบนขีปนาวุธข้ามทวีปที่ยิงไกลถึงอเมริกา
เกาหลีเหนือเป็นประเด็นที่รัฐบาลสหรัฐทุกชุดต้องรับมือเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายเป็นรอบ
ต้องชมเชยว่าโดยรวมแล้วรัฐบาลทรัมป์จัดการได้ดี เกิดภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำ
2 ประเทศดังปรารถนา ส่วนฉากระหองระแหงเป็นเรื่องปกติช่วยให้มีรสชาติ
(มีความขัดแย้งแต่สามารถคลี่คลายระงับไว้) มีหัวข้อใหม่ๆ ให้ดูไม่ซ้ำซากจำเจเกินไป
ต่างฝ่ายได้ผลประโยชน์ที่คาดหวัง
ประการที่
2 กรณีไต้หวัน
ไต้หวันเป็นประเด็นเก่าแก่กว่าเกาหลีเหนือ รัฐบาลสหรัฐสนับสนุนฝ่ายฝ่ายชาตินิยม
(ก๊กมินตั๋ง) ที่นำโดยเจียงไคเช็ค (Chiang Kai-shek) ให้อาวุธมากมายเพื่อรบกับคอมมิวนิสต์
เมื่อฝ่ายชาตินิยมถอยมาตั้งหลักที่ไต้หวัน รัฐบาลสหรัฐให้การปกป้องเรื่อยมา
เป็นไพ่ใบหนึ่งใช้ต่อรองกับจีน
กองทัพจีนที่พัฒนาก้าวขึ้นมากระทบไต้หวัน
เป็นอีกเวทีที่กองทัพสหรัฐเผชิญหน้ากองทัพจีน
มีข่าวให้เกิดภาพร้อนแรงได้ตามต้องการ เพียงแค่จีนซ้อมรบใกล้ไต้หวัน
ติดตั้งขีปนาวุธรุ่นใหม่ สหรัฐส่งกองทัพเรือแล่นเข้าใกล้หรือแค่ส่งเครื่องบินรบ
2-3 ลำบินผ่านน่านฟ้าแถวนั้น ขึ้นกับว่ารัฐบาลจีนกับสหรัฐต้องการให้เกิดภาพเหล่านั้นหรือไม่
ล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานาวิกโยธินสหรัฐเริ่มซ้อมรบกับกองทัพไต้หวัน
4 สัปดาห์ เป็นการกลับมาอีกครั้งหลังหายไป 41 ปี
ในภาพที่กว้างขึ้น
ประเด็นไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของกรณีทะเลจีนใต้และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน
ประการที่
3 อินโด-แปซิฟิก
“รายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก”
(Indo-Pacific Strategy Report: IPSR) ของกระทรวงกลาโหม 2019
ชี้ว่าจีนคือปรปักษ์กำลังบั่นทอนเสถียรภาพภูมิภาค ขัดขวางการเดินเรือเสรี รายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกใกล้เคียงกับยุทธศาสตร์ปักหมุดเอเชียที่สหรัฐทุ่มพลังอำนาจและความสนใจสู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ที่เพิ่มเติมคือรวมอนุภูมิภาคอินเดียเข้ามาและเอ่ยจีนในฐานะปรปักษ์อย่างชัดเจน (ผิดกับสมัยโอบามาที่แสดงตัวเป็นมิตร
แต่โอบามาคือรัฐบาลชุดแรกที่ส่งกองทัพใหญ่ไปรวมกันที่เอเชียแปซิฟิก)
ยุทธศาสตร์นี้คือแผนจัดระเบียบภูมิภาคของสหรัฐที่ครอบคลุมทุกมิติ
พยายามรักษาความเป็นเจ้า สหรัฐไม่อาจสูญเสียความเป็นเจ้าในย่านนี้แก่จีนเพราะนั่นคือการสูญเสียฐานะมหาอำนาจผู้เป็นเจ้าครองโลก
รัฐบาลไบเดนคงสานต่อยุทธศาสตร์แม่บทเดิม
เพียงแค่ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทล่าสุดหลังใช้มาแล้ว 4 ปี ไบเดนให้ความสำคัญกับการกระชับพันธมิตรสอดคล้องกับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก
เป็นไปได้ว่าความแข็งกร้าวด้วยวาจาจะลดลงแต่จะปิดล้อมจีนมากหรือน้อยกว่าเดิมเป็นเรื่องต้องติดตาม
ประการที่
4 กรณีฮ่องกง
ทั้งๆ
ที่ฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน เป็นเขตอธิปไตยจีนโดยแท้ ภายใต้การปกครองแบบ “1
ประเทศ 2 ระบบ”
เป็นศูนย์กลางการเงินสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ใช้ระบบเศรษฐกิจเสรีที่นานาชาติยอมรับ แต่รัฐบาลทรัมป์เห็นว่าเป็นความชอบธรรมที่จะสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลจีนที่เรียกร้องปกครองตนเอง
ยุยงส่งเสริมให้เกลียดชังรัฐบาล เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐสนับสนุนฝ่ายต่อต้านอย่างเปิดเผย
ในขณะที่กล่าวห้ามต่างชาติแทรกแซงกิจการภายในของตน เตือนว่าจะตอบโต้อย่างรุนแรง
การสร้างความแตกเป็นอีกพฤติกรรมของรัฐบาลสหรัฐที่มีมาเนิ่นนาน
ใช้หลัก
“แบ่งแยกแล้วปกครอง”
(divide and rule หรือ divide and conquer) ยุยงส่งเสริมให้คนชาตินั้นแตกแยกกันเอง
บั่นทอนให้ประเทศอ่อนแอก่อนแล้วค่อยยึดครอง
ความจริงแล้วในโลกนี้มีอีกมากที่ละเมิดสิทธิมนุษย์ยิ่งกว่ากรณีฮ่องกง
แต่รัฐบาลทรัมป์เลือกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะผูกกับนโยบายต้านจีน รัฐบาลชุดใหม่น่าจะแสดงท่าทีสนับสนุนผู้ประท้วงฮ่องกงต่อไป
ทั้งนี้ขึ้นกับว่ารัฐบาลไบเดนต้องการหยิบยกขึ้นมาพูดมากแค่ไหน
แรงกดดันจากการเมืองภายในอเมริกา รวมทั้งความเข้มแข็งของกลุ่มผู้ชุมนุมฮ่องกง
เมื่อพูดถึงอุยกูร์
(Uighur) จะเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน รัฐบาลสหรัฐในอดีตจะหยิบยกประเด็นนี้เมื่อต้องการพูดว่าจีนละเมิดสุทธิมนุษยชน
ในสมัยทรัมป์ลดความสำคัญเพราะให้ความสำคัญกับ “ตัวเลข” การค้าการลงทุนมากกว่า
ประธานาธิบดีคนใดที่อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้รักประชาธิปไตย
เคารพสิทธิมนุษยชนจะเล่นงานจีนเรื่องอุยกูร์ อาจเป็นเหตุได้รับรางวัลโนเบลหรืออย่างน้อยได้บันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นพวกนักสิทธิมนุษยชน
ไบเดนพูดว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชน
ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) พวกอุยกูร์ ประเด็นสิทธิมนุษยชนจะกลับมาอีกครั้ง
ประการที่ 6 ประเด็นสินค้าจีน
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนเป็นประเด็นสำคัญ ไบเดนชี้ว่าเป็นเรื่องความมั่นคงแห่งชาติและเอ่ยเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์
ถ้ายังจำได้เหตุผลหนึ่งที่ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีน ต่อต้านสินค้าจีนก็ด้วยคำว่าเพื่อ
“ความมั่นคงแห่งชาติ”
ในช่วงหาเสียงไบเดนประกาศชัดว่านโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ไม่ช่วยอะไร
หนำซ้ำคือการทำให้ผู้บริโภคอเมริกันเป็นผู้จ่ายภาษีเหล่านั้น ต้องจับตาดูว่าไบเดนจะแก้ปัญหาการค้าการลงทุนกับจีนอย่างไร
ไม่ว่ารัฐบาลไบเดนจะพูดอย่างไรที่จะทำต่อคือปิดล้อมจีนต่อไป
ต่างกันเพียงแสดงตัวชัดหรือไม่ชัด ใช้ถ้อยคำรุนแรงแค่ไหน ใช้วิธีการอะไร ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่อย่างน้อยมีประเด็นสำหรับใช้หาเสียง
(สังเกตกรณีขึ้นภาษีสินค้าจีนที่คนอเมริกันเป็นผู้ควักกระเป๋าจ่ายไม่ใช่จีน)
มีเหตุผลที่รัฐบาลต้องทุ่มใช้งบกลาโหมมหาศาลและกระทำการต่างๆ อีกมากมาย ต่อเวลาได้อีก
4 ปีแล้วค่อยว่ากันใหม่
15
พฤศจิกายน 2020
ชาญชัย
คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน
คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่
25 ฉบับที่ 8770 วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563)
----------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
นโยบายป้องกันประเทศจีนยุคใหม่ 2019บทบาทของกองทัพกับความเป็นไปของประเทศเป็นของคู่กันแยกออกจากกันไม่ได้ เป็นเครื่องทดสอบและให้คำตอบในตัวเองว่ากองทัพสนับสนุนการก้าวขึ้นมาของจีนอย่างสันติหรือไม่ อย่างไร
ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ
ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกหวังสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับหุ้นส่วนเพื่อต้านจีน ถ้ามองในมุมกว้างคือแผนจัดระเบียบภูมิภาคของสหรัฐนั่นเอง
1. Biden, Joseph R. (2020, March/April). Why America Must
Lead Again. Foreign Affairs. Retrieved from
https://www.foreignaffairs.com/articles/united-states/2020-01-23/why-america-must-lead-again
2. Biden’s China policy will upgrade Trump’s. (2020, November 9). Asia Times.
Retrieved from https://asiatimes.com/2020/11/bidens-china-policy-will-upgrade-trumps/
3. Biden may lower chance of military conflict with China
but containment strategy unlikely to change: expert. (2020, November 9). Global
Times. Retrieved from https://www.globaltimes.cn/content/1206150.shtml
4. China, U.S. commit to new-model ties. (2014, February
14). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2014-02/15/c_126137748.htm
5. Dockrill, Michael L., & Hopkins, Michael F. (2006). The
Cold War 1945-91 (2nd Ed.). New York: Palgrave Macmillan.
6. How will Biden play out US Indo-Pacific Strategy? (2020,
November 4). Global Times. Retrieved from
https://www.globaltimes.cn/content/1206147.shtml
7. Jentzen, Nicole. (Ed.). (2006). China and U.S. Policy. In
Encyclopedia Of United States National Security. (pp.199-121).
California: Sage Publications.
8. Lyle, Amaani. (2013, March 12). National Security Advisor
Explains Asia-Pacific Pivot. U.S. Department of Defense. Retrieved from
http://www.defense.gov/news/newsarticle.aspx?id=119505
9. McKay, John P., Hill, Bennett D., Buckler, John.,
Ebrey, Patricia Buckley., & Beck, Roger B. (2009). A History
of World Societies (8th Ed.). USA: Bedford/St. Martin’s.
10. National Institute for South China Sea Studies. (2020,
June). The U.S. Military Present in the Asia-Pacific 2020. Retrieved from
http://www.nanhai.org.cn/uploads/file/20200623/jlbg.pdf
11. President-Elect Biden on Foreign Policy. (2020, November
4). Council on Foreign Relations. Retrieved from
https://www.cfr.org/election2020/candidate-tracker
12. THE POWER OF AMERICA’S EXAMPLE: THE BIDEN PLAN FOR
LEADING THE DEMOCRATIC WORLD TO MEET THE CHALLENGES OF THE 21ST CENTURY. (2020). joebidendotcom. Retrieved from
https://joebiden.com/americanleadership/
13. United States Department of State. (2019, November 4). A
Free and Open Indo-Pacific: Advancing a
Shared Vision. Retrieved from
https://www.state.gov/release-of-the-united-states-report-on-the-implementation-of-the-indo-pacific-strategy/
14. US Department of Defense. (2019, June 1). Indo-Pacific
Strategy Report: Preparedness, Partnerships, and Promoting a Networked Region.
Retrieved from https://media.defense.gov/2019/May/31/2002139210/-1/-1/1/DOD_INDO_PACIFIC_STRATEGY_REPORT_JUNE_2019.PDF
15. US Marines officially training in
Taiwan for 1st time since 1979. (2020, November 10). Taiwan News. Retrieved from
https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4049035
--------------------------