ธนกิจการเมือง (Money Politics) ที่มากกว่าเงินและอำนาจ
ธนกิจการเมืองไม่เป็นเพียงพฤติกรรมแต่ฝังรากในสังคม ครอบระบบการเมืองการปกครอง เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ต้องแก้ด้วยการสร้างสังคมที่คนยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตย เป็นคนยึดเหตุผลฟังความรอบข้าง
“Money
Politics” หรือ “ธนกิจการเมือง” มักพูดถึงการเมืองฝั่งเอเชีย
สัมพันธ์กับการทุจริตคอร์รัปชันในแวดวงการเมือง ทุจริตเลือกตั้ง เช่น ญี่ปุ่น
ไต้หวัน ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ธนกิจการเมือง (Money Politics) พูดถึง 2 สิ่ง คือ
เงินกับอำนาจการเมืองการปกครอง สามารถอธิบายโดยใช้ “เงิน” หรือความมั่งคั่งเป็นตัวตั้งกับใช้
“อำนาจ” เป็นตัวตั้ง
ถ้าใช้
“เงิน” เป็นตัวตั้ง เป้าหมายคือต้องการเงินมากๆ มีกำไรมากๆ สะสมความมั่งคั่ง
คนที่ยึดแนวทางนี้จะทุกวิธีเพื่อให้ได้ความมั่งคั่ง หากอำนาจการเมืองช่วยให้ร่ำรวยย่อมต้องให้ตัวเองมีอำนาจอิทธิพลมากสุด
หากเป็นนักการเมืองแล้วสามารถควบคุมรัฐบาลหรือออกกฎหมายเอื้อกิจการของตนกับพวกพ้องย่อมเป็นวิธียอดเยี่ยม
นักธุรกิจใหญ่จึงส่งลูกหลานหรือตัวแทนเข้าสภาเพื่อกีดกันป้องกันคู่แข่งออกกฎหมายหรือนโยบายที่ทำลายธุรกิจตน
เป็นวัฏจักร
“เงินสู่อำนาจ อำนาจสู่เงิน”
ถ้าใช้
“อำนาจ” เป็นตัวตั้ง เป้าหมายคือต้องการอำนาจการเมืองการปกครอง
มีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ใช้ประโยชน์จากกลไกรัฐ ทรัพยากรของรัฐ การเป็นรัฐบาลหรือผู้นำประเทศจึงเป็นเป้าหมายสูงสุด
(หรือสามารถควบคุมชี้นำ) อาจใช้เงินเพื่อให้ได้อำนาจ เช่น ซื้อตำแหน่ง
ใช้เงินควบคุมเจ้าหน้าที่รัฐ ยิ่งมีเงินมากยิ่งสามารถซื้อ ส.ส. ส.ว.
ให้อยู่ในสังกัดมากที่สุด และ/หรือใช้อำนาจต่ออำนาจ เช่น
จากผู้มีอิทธิพลประจำตำบลขยับเป็นเจ้าพ่อจังหวัด ลงสนามเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.
แล้วใช้อำนาจ ส.ส. (กับอำนาจเงิน) สร้างกลุ่มของตนให้มี ส.ส. ในสังกัดหลายคน
สร้างพรรคการเมือง ฯลฯ หรือจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยขูดรีดแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวเพื่อนำเงินไปซื้อตำแหน่งสูงขึ้น
เป็นวัฏจักร
“อำนาจสู่เงิน เงินสู่อำนาจ”
ธนกิจการเมืองอยู่คู่กับเสรีประชาธิปไตย
:
ในอดีตกาลอำนาจปกครองจะอยู่ที่สถาบันศาสนาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับกษัตริย์เหล่าขุนนางผู้มีกองทัพเกรียงไกร
ในระบบประชาธิปไตยที่อำนาจการเมืองมาจากการเลือกตั้ง ผู้มีเงินกับอำนาจและใช้ 2 สิ่งนี้เพื่อได้เปรียบ
เพราะมนุษย์ไม่สมบูรณ์
มีความโลภ ชอบอะไรที่ได้มาง่ายๆ คิดว่าเป็นของฟรีหรือหวังเพียงประโยชน์เฉพาะหน้า
ผนวกกับระบบควบคุมไม่สมบูรณ์ เปิดช่องให้สามารถใช้เงินกับอำนาจเข้าถึงอำนาจการเมืองการปกครอง
เช่น ด้วยการซื้อเสียงซื้อตำแหน่ง แจกเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสารอาหารแห้ง ฯลฯ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันและกัน
ใช้อิทธิพลครอบงำ กลายเป็นว่าใครมีเงินมากกว่ามักจะชนะ
มีข้อสังเกตว่าการเมืองเช่นนี้มักเป็นการเมืองที่ต้องใช้เงินมาก
ประชาชนยอมรับการซื้อสิทธิขายเสียง การซื้อสิทธิขายเสียงเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งที่ทำกัน
หลายคนถึงขั้นต่อรองหวังได้เงินจากการขายเสียงมากสุด
เจ้าหน้าที่รัฐใช้เงินซื้อแม้เป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ
จะเห็นว่าอำนาจกับเงินมักไปด้วยกันเสมอ
อำนาจเงินกับอำนาจปกครองจะสัมพันธ์กันไปด้วยกัน นักการเมือง
กลุ่มทุนและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงมักเป็นพวกเดียวกัน ร่วมมือกัน กลายเป็นชนชั้นปกครอง
กลุ่มชนชั้นปกครองมักเป็นผู้มั่งมีและร่ำรวยขึ้นทุกที
ความเหลื่อมล้ำขยายตัว
ระบอบการปกครองที่มีเพื่อคนส่วนน้อยไม่ใช่เพื่อประชาชนอย่างที่พูดตอนหาเสียง นับวันประชาชนไม่ศรัทธานักการเมือง
ระบบการเมือง ความเป็นประชาธิปไตยถดถอย
พวกนักปกครองเข้าใจเรื่องนี้มานานและเข้าใจอย่างดี
มักอยู่ควบคู่กับสังคมอุปถัมภ์ :
ตามหลักประชาธิปไตย
พรรคการเมืองกับนักการเมืองควรเสนอนโยบายพัฒนาจังหวัด พัฒนาประเทศ ส่งเสริมให้ลูกหลานได้รับการศึกษาที่ดี
น้ำไหลไฟสว่าง ระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง สังคมปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ปลอดอำนาจเถื่อน
เพื่อดึงดูดให้ประชาชนเลือกผู้ที่เหมาะสม แต่ธนกิจการเมืองจะมุ่งซื้อเสียงหรือซื้อความนิยม
ในมุมมองนักวิชาการประชาธิปไตยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะประชาชนเลือกรับเงินเล็กน้อย
ยอมเสียผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่าสำคัญกว่า และไม่ควรเรียกว่าเป็นสังคมประชาธิปไตย
แต่เป็นสังคมภายใต้ชนชั้น “ภายใต้การปกครองนอกระบบ” เกิดสังคมการเมืองที่ประชาชนเห็นว่าจำเป็นหรือจำยอม
เพราะทุกอย่างสัมพันธ์ไปหมด เช่น หากต้องไปติดต่อหน่วยงานรัฐ
ลูกหลานจะเข้าโรงเรียนต้องใช้เส้นสายของนักการเมืองผู้มีอิทธิพล กรณีที่ร้ายแรงคือถ้าไม่ยอมอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์คุ้มครองอาจถูกรังแก
การยอมอยู่ใต้ระบบอุปถัมภ์หรือพูดอีกอย่างคืออยู่ใต้อิทธิพลของใครบางคนบางกลุ่มกลายเป็น
“สิ่งจำเป็น” เรากำลังพูดถึงประเทศที่ประกาศว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
มีการเลือกตั้ง มีสิทธิเสรีภาพ แต่ในทางปฏิบัติเป็นสังคมแห่งชนชั้น
มีผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครองนอกระบบ การปกครองประชาธิปไตยที่ประกาศในรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำหน้าที่จริง
ไม่ช้าไม่นานธนกิจการเมืองภายใต้ระบบอุปถัมภ์กลายเป็นวัฒนธรรม
เป็นบรรทัดฐานอย่างที่หนึ่งพบทั่วไป เด็กเกิดใหม่อยู่ในระบบตั้งแต่แรกเกิดและใช้ชีวิตภายใต้ระบบกล่าว
เมื่อเป็นวัฒนธรรม
ปฏิบัติกันทั่วไป โอกาสที่จะหลุดพ้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย คำว่าปฏิรูปมักเป็นเพียงคำสวยหรู
หรือปฏิรูปเพื่อกระชับอำนาจภายในหมู่ชนชั้นปกครอง
ถ่ายโอนอำนาจจากสายหนึ่งไปสู่อีกสาย
เพื่อผลประโยชน์คนส่วนน้อย เอื้อพวกพ้อง :
ลักษณะหนึ่งที่ปรากฏชัดคือคนส่วนน้อยไม่กี่กลุ่มที่กุมอำนาจระบบเศรษฐกิจ
ภาคเศรษฐกิจต่างๆ คนเหล่านี้เชื่อมโยงกับนักการเมือง พรรคการเมือง
จะเห็นปรากฏการณ์ที่พรรคการเมืองพยายามควบคุมระบบเศรษฐกิจ การต่อสู้ช่วงชิงภายในพรรค
(การช่วงชิงภายในกลุ่มชนชั้นปกครอง) เห็นได้ชัดทั้งในญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์
ถ้ามองในเชิงการพัฒนาประเทศควรยอมรับว่าภาคเศรษฐกิจต่างๆ
ที่อยู่ในมือคนส่วนน้อยมีประโยชน์เหมือนกัน อาจตีความว่าเป็นลักษณะปกติของทุนนิยม
หรือตีความว่าธนกิจการเมืองในสังคมอุปถัมภ์เป็นระบบกระจายความมั่งคั่ง
กระจายผลประโยชน์จากทรัพยากรชาติรูปแบบหนึ่ง ผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นผู้ควบคุมผลประโยชน์
กระจายให้แก่คนภายใต้ตามสัดส่วน ประชาชนที่อยู่ฐานล่างสุดได้รับส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน
ความท้าทายสำคัญอยู่ที่ว่าระบบดังกล่าวจะยั่งยืนแค่ไหน ประชาชนคนส่วนใหญ่รับได้หรือไม่
โดยเฉพาะเมื่อประเทศเผชิญวิกฤตที่กระทบชีวิตความเป็นอยู่อย่างรุนแรง
และแน่นอนว่าประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยจริง ปราศจากความเท่าเทียม นานวันเข้าสังคมยิ่งเหลื่อมล้ำ
มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตระบบการเมืองจะเป็นอำนาจนิยมมากขึ้น
รวมความแล้ว
ธนกิจการเมืองเป็นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยเพื่อพวกพ้อง โดยที่ประชาชนคนส่วนใหญ่เป็นผู้จ่ายราคาให้คนชนชั้นปกครองเสวยสุข
ถ้าอธิบายในกรอบแคบธนกิจการเมืองคือความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจเงินกับอำนาจการเมืองที่ไปด้วยกัน
แต่หากมองในกรอบกว้างคือระบอบปกครองอีกระบอบที่แฝงตัวอยู่ในระบบการเมืองการปกครองอื่นๆ
อาจอยู่ในระบบประชาธิปไตย ระบบเผด็จการ ฯลฯ เป็นระบบควบคุมและกระจายผลประโยชน์
เกิดสังคมวัฒนธรรมสังคมที่อำนาจเงินกับการเมืองอยู่เหนือสิทธิเสรีภาพ
เหนือความเสมอภาค เหนืออำนาจรัฐ อยู่เหนือหลักประชาธิปไตย ประชาชนจำนวนมากคุ้นชินที่จะอยู่กับระบอบดังกล่าว
ไม่คิดทุ่มเทแก้ไขออกจากระบอบนี้ด้วยตัวเอง
เงินกับอำนาจไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายในตัวมันเอง กิจกรรมการเมืองมักมีเงินเกี่ยวข้องเสมอ
ที่ไหนธนกิจการเมืองรุนแรงจะมีทุจริตคอร์รัปชันมาก ใช้ตำแหน่งอำนาจในทางมิชอบ การทุจริตจึงเป็นดัชนีชี้วัดว่าสังคมใดมีธนกิจการเมืองรุนแรง
สามารถมองได้ทั้งในสังคมเล็กๆ เช่น หมู่บ้าน ตำบาล กรม กอง จนถึงระดับประเทศ เป็นตัวชี้วัดว่ารัฐบาลหรือผู้ปกครองเอาใจใส่แก้รากปัญหามากเพียงไร
(ตรงข้ามกับการแก้ที่เปลือกนอก มุ่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาเฉพาะหน้า)
ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจะเป็นตัวชี้ว่าประเทศเป็นประชาธิปไตยมากแค่ไหน
ประสบความสำเร็จมากเพียงไร ทางออกคือต้องเรียนรู้จักหลักประชาธิปไตยอย่างถูกต้องครบถ้วน
เป็นคนยึดเหตุผลฟังความรอบข้าง สร้างสังคมที่คนยึดมั่นอุดมการณ์ ประชาชนที่ยึดผลประโยชน์ส่วนรวมต้องจัดตั้งกลุ่มการเมือง
สร้างสถาบันการเมืองที่ไม่ยึดโยงธนกิจการเมือง
18 ตุลาคม
2020
ชาญชัย
คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน
คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่
24 ฉบับที่ 8742 วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563)
-----------------------
บรรณานุกรม :
1. Case, William (ed.). (2015). Routledge Handbook of
Southeast Asian Democratization. Oxon: Routledge.
2. Haynes, Jeffrey. (2012). Routledge Handbook of
Democratization. New York: Routledge.
3. La Raja, Raymond J. (2008). Small Change: Money,
Political Parties, and Campaign Finance Reform. USA: The University of
Michigan Press.
4. O’Neil, Patrick H., Fields, Karl., & Share, Don.
(2010). Cases in Comparative Politics (3rd Ed.). New York: W. W. Norton
& Company, Inc.
5. Roskin, Michael G. Cord, Robert L. (2017). Political
Science: An Introduction (14th Ed.). USA: Pearson Education.
--------------------------