ใครทำธุรกิจกับอิหร่าน สหรัฐจะไม่ทำธุรกิจกับผู้นั้น
ทรัมป์เตือนว่า “ใครทำธุรกิจกับอิหร่าน
สหรัฐจะไม่ทำธุรกิจกับผู้นั้น” เป็นการเจาะจงเล่นงานบริษัทเอกชน
เป็นแนวทางของจักรวรรดินิยมปัจจุบัน
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ทรัมป์ตอกย้ำอิหร่านภัยคือร้ายแรงที่สุดของอเมริกา
ทรัมป์ใช้ถ้อยคำรุนแรงโจมตีอิหร่านเรื่อยมา การพูดอีกรอบในช่วงนี้จึงอาจดูเหมือนไม่ใช่ของแปลกใหม่ แต่ถ้าคิดอย่างมีเหตุผล อาจเป็นการทดสอบปฏิกิริยาคนอเมริกันและอาจเล่นงานอิหร่านให้หนักกว่าเดิม
บรรณานุกรม :
pán Vraný">Štěpán Vraný
เป็นคำเตือนล่าสุดจากประธานาธิบดีทรัมป์
หลังประกาศจะคว่ำบาตรเศรษฐกิจอิหร่านอย่างรุนแรงที่สุด และที่ทำเช่นนี้
“ก็เพื่อสันติภาพโลก”
มีผลต่อทุกบริษัทในโลก :
ประเด็นสำคัญที่ต้องตีความคือ
รัฐบาลทรัมป์หมายถึงทุกบริษัทในโลกจริงๆ ใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นมาตรการที่รัฐบาลสหรัฐข่มขู่เล่นงานบริษัทเอกชนทั่วโลก
โดยไม่สนใจว่าเป็นบริษัทสัญชาติใด และที่น่ากังวลคือห้ามทำธุรกรรมการเงินผ่านธนาคารของสหรัฐซึ่งบริษัทใหญ่เล็กทั่วโลกต่างใช้บริการด้วยกันทั้งสิ้น
กรณี บริษัทยุโรปที่ลงทุนในอิหร่าน
ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่
มาตรการล่าสุดมีผลต่อบริษัทยุโรปที่ไปลงทุนในอิหร่านจำนวนมาก
บริษัทเหล่านี้มักมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลตนเอง (แม้กระทั่งกับรัฐบาลสหรัฐ)
หลายบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลก กองทุนต่างๆ มีส่วนถือหุ้น ถ้าพูดถึงความเสียหายที่เป็นรูปธรรม
ความเสียหายเกิดกับบริษัทของอียูนั่นเอง
แต่ทันทีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศนโยบายดังกล่าว
สหภาพยุโรปแสดงจุดยืนทำธุรกิจกับอิหร่านต่อ ทั้งยังจะรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำกับอิหร่านด้วย
ถ้าตีความในแง่บวก
อียูและบริษัทของอียูเท่านั้นที่สามารถทำธุรกิจกับอิหร่านต่อไป เพราะเมื่อ 2
สัปดาห์ก่อนอียูกับรัฐบาลทรัมป์มีข้อตกลงว่าจะไม่ขึ้นภาษีสินค้าต่อกันอีก
จนกว่าจะแก้ปัญหาเดิมที่มีอยู่แล้วเสร็จ
แต่ถ้าตีความในแง่ลบ รัฐบาลของอียูไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยืนยันให้ทำธุรกิจต่อ
เพราะหากกลับลำเท่ากับยอมรับว่านโยบายที่ส่งเสริมให้ติดต่อกับอิหร่านนั้นผิดพลาดครั้งใหญ่
บริษัทเสียหายมากมายเกินว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบไหว
ที่น่าสนใจคือรัฐบาลสหรัฐจะเล่นงานอียูตามคำขู่หรือไม่
จะสั่งเลิกทำธุรกิจกับบริษัทยุโรปจริงหรือไม่ หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงคำขู่
หรือเลือกปฏิบัติต่อบางบริษัทเท่านั้น
ถ้ามีการเล่นงานบริษัท
คำประกาศจุดยืนของอียูที่ให้ทำธุรกิจกับอิหร่านต่อไปเท่ากับ “พูดไปอย่างนั้นเอง” เพราะรัฐบาลสหรัฐตอนนี้มีสิทธิ์คว่ำบาตรทุกบริษัท
นี่คือหมายความหมายที่ซ่อนอยู่ของจุดยืนทำธุรกิจกับอิหร่านต่อ
หากทรัมป์คว่ำบาตรบริษัทเหล่านั้น
อียูจะช่วยเอกชนของตนได้แค่ไหน คุ้มค่าหรือไม่ สุดท้ายการตัดสินใจอยู่ที่บริษัทเอกชนนั้นเอง
ไม่ว่าความเข้าใจเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร หลายบริษัทระงับการดำเนินกิจการในอิหร่านแล้ว
ตัวอย่างบริษัทใหญ่ๆ เช่น บรรษัทน้ำมันเทเทล (Total) เครือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์
PSA และเรโน (Renault) ของฝรั่งเศส
แม้กระทั่งบริษัทรถยนต์เดมเลอร์ เอจี (Daimler AG - รถเบนซ์)
ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าควรทำอย่างไร
ถ้าหากไม่กลัว
ทำไมต้องระงับธุรกิจกับอิหร่าน
อธิบายด้วยแนวคิดจักรวรรดินิยม :
บทความ Trump
Goes From Threatening Iran to Threatening the World ของ
คริสนาเดฟ กามามูร์ (Krishnadev Calamur) นำเสนออย่างน่าสนใจว่านโยบายต่ออิหร่านในขณะนี้ไม่ได้มุ่งเล่นงานอิหร่านเท่านั้น
มีผลต่อทุกประเทศทั่วโลก มุ่งภาคเอกชนโดยไม่เลือกว่าเป็นบริษัทใด จากประเทศไหน
ไม่ได้มุ่งประเด็นการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านเท่านั้น
ดังที่เคยนำเสนอในบทความก่อนว่าโครงการนิวเคลียร์อิหร่านในขณะนี้มีเพื่อสันติเท่านั้น
เหมือนประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติ (เช่น
ผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ ใช้รังสีนิวเคลียร์รักษาโรคมะเร็ง)
การใช้นิวเคลียร์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหน่วยงานสหประชาชาติอย่างใกล้ชิด
ที่รัฐบาลสหรัฐกล่าวหาอิหร่านเรื่องอื่นๆ
คือ เรื่องสนับสนุนก่อการร้าย บ่อนทำลายคุกคามเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพวกซาอุฯ
กับอิสราเอล เหล่านี้เป็นประเด็นที่ต้องอธิบายรายละเอียดซับซ้อน
แต่ถ้ารัฐบาลอิหร่านยอมรับเท่ากับต้องปรับเปลี่ยนนโยบายทั้งหมด
แม้กระทั่งเปลี่ยนผู้ปกครองประเทศ
เท่ากับว่ากำลังข่มขู่บังคับให้อิหร่านสูญเสียอธิปไตย
อยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลสหรัฐนั่นเอง นี่คือการสำแดงความเป็นจักรวรรดินิยมของอเมริกาในยุคนี้
ทรัมป์ที่เอ่ยว่า
“เพื่อสันติภาพโลก” น่าจะตีความได้ว่าคือสันติภาพที่สหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียว
เป็นเจ้าโลก ประเทศอื่นๆ เอกชนทุกรายทุกคนต้องอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐ
ในกรณีอิหร่าน
อียูเป็นตัวอย่างที่ดี ความขัดแย้งเรื่องถอนตัวจากโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน
คว่ำบาตรอิหร่าน
เป็นประเด็นล่าสุดที่สมาชิกบางประเทศของอียูเห็นว่าอียูควรมีนโยบายต่างประเทศที่ถอยห่างจากอเมริกามากขึ้น
มีอิสระมากขึ้น
ล่าสุด ไฮโค มาส (Heiko
Maas) รมต.ต่างประเทศเยอรมันกล่าวว่าเยอรมันกับประเทศอื่นๆ ในยุโรปจะรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านต่อไป
สหรัฐกำลังโดดเดี่ยวตัวเอง ความมั่นคงของตะวันออกกลางเป็นประโยชน์ต่อเยอรมัน
หากระบอบอิหร่านล้มจะยิ่งก่อปัญหาหนักกว่าเดิม เยอรมันมีผลประโยชน์ของตัวเองที่ต้องรักษา
การยืนยันจุดยืนที่แตกต่างของอียูเป็นการประกาศว่าอียูไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา
(หรือลดน้อยลง)
ด้านกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงว่าเป็นอีกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐละเมิดข้อมติ
2231 ของคณะมนตรีความมั่นคงประชาชาติ (เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน)
ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
การอยู่เหนือกติกา เหนือกฎหมายระหว่างประเทศเป็นอีกลักษณะเด่นของจักรวรรดินิยมอเมริกาที่มุ่งเขียนกติกาโลกเพื่อตัวเอง
และฉีกกติกานั้นเมื่อเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์มากพอ โดยพูดว่าขอเจรจาใหม่
ดังที่ทรัมป์ขอเจรจากับอิหร่านใหม่อีกรอบ ซึ่งหมายถึงอิหร่านต้องสูญเสียอธิปไตย
สหรัฐมีนิวเคลียร์ป้องกันประเทศได้ อิสราเอลมีได้ แต่อิหร่านห้ามมี
อิสราเอลสามารถไล่รื้อที่ปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมาย แต่อิหร่านไม่สามารถทำสิ่งใดๆ
แม้กระทั่งพูดจาต่อต้านต่อประเทศที่คุกคามตน มีแต่ทรัมป์ที่จะพูดอะไรอย่างไรก็ได้
แสดงพลังอำนาจของจักรวรรดินิยม :
เรื่องราวที่เกิดกับอิหร่านสามารถอธิบายผ่านลัทธิจักรวรรดินิยมสมัยใหม่
ที่ความเป็นจักรวรรดินิยมเน้นการมีอำนาจอิทธิพลหรือรัฐหรือประเทศอื่นๆ เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากประเทศนั้นเข้าตัวเองให้มากที่สุด
สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐทำต่ออิหร่านไม่ได้มุ่งหวังต่ออิหร่านเท่านั้น
แต่เป็นการแสดงพลังอำนาจของจักรวรรดิ เพื่อให้ประเทศอื่นๆ ยอมสยบ โดยใช้ยุทธศาสตร์สร้างศัตรู
(เช่น ให้อิหร่านเป็นศัตรู)
หลักยุทธศาสตร์สร้างศัตรู
คือ ทำให้เป้าหมายกลายเป็นภัยคุกคามที่ต้องกำจัด จัดการ
ด้วยการยกหลักการหรือเหตุผลบางอย่างที่ร้ายแรงมากและมักเกินจริง
เพื่อชี้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูที่ต้องจำกัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ต้องเผชิญหน้าและแตกหัก
หลักการกับเหตุผลที่หยิบยกไม่จำต้องถูกต้อง
เพราะเป้าหมายไม่ใช่เพื่อความถูกต้องสมเหตุผล
เป็นเพียงกระบวนการหนึ่งเพื่อสร้างศัตรูขึ้นมา
ที่ควรตระหนักคือ
ไม่ว่ายุคสมัยใด รัฐบาลสหรัฐจะต้องเล่นงานประเทศใดประเทศหนึ่งเพื่อแสดงพลังอำนาจ
ยุคประธานาธิบดีทรัมป์แสดง
“อำนาจ” ชัดเจนกว่าบางรัฐบาล ไม่ใช้วิธีปิดลับ ไม่ค่อยอ้างเสรีภาพ ประชาธิปไตย
สิทธิมนุษยชน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของตัวรัฐบาล อีกเหตุผลคือความเป็นประชาธิปไตยของสหรัฐกำลังถดถอย
ถ้าอธิบายกรอบผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
การเล่นงานอิหร่านไม่มีผลโดยตรงต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐ แต่มีผลทางอ้อม เป็นการส่ง
“คำเตือน” ถึงนานาชาติว่าหากไม่ยอมมอบผลประโยชน์แก่สหรัฐเท่าที่เขาต้องการ
ประเทศนั้นอาจเป็น “ปรปักษ์” รายต่อไป
หนึ่งในผลประโยชน์ที่สหรัฐเป็นเจ้าโลกคือสามารถกดดันให้นานาประเทศใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นค่าเงินหลักเพื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
ค่าเงินดอลลาร์ปัจจุบันเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือ
เป็นเหตุให้รัฐบาลสหรัฐสามารถพิมพ์เงินออกมาใช้จ่ายเรื่อยๆ
โดยกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น ในอนาคตหากนานาชาติยกเลิกหรือลดการใช้เงินสกุลดอลลาร์
ค่าเงินจะอ่อนค่ารุนแรง กระทบต่อเศรษฐกิจสังคมอเมริกาอย่างมหาศาล
คำถามที่ซ่อนอยู่และบวกแง่บวก :
ถ้าไม่เอ่ยเรื่องการเมืองระดับโลกที่บางคนคิดว่าไกลตัว
คำขู่ล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์มีคำถามที่ซ่อนอยู่คือ การที่บริษัทหนึ่งถูกห้ามทำธุรกิจกับสหรัฐจะส่งผลดีผลเสียต่อสหรัฐอย่างไร
พลเมืองอเมริกันคือผู้ต้องจ่ายราคาแก่นโยบายเล่นงานอิหร่านของทรัมป์หรือไม่
นี่คือคำถามสำคัญที่ยังรอคำตอบ
ท้ายที่สุด ถ้ามองแง่บวกต่ออิหร่าน ในระยะยาวการคว่ำบาตรอาจไม่ส่งผลเป็นรูปธรรมมากนัก
ญี่ปุ่น อินเดียและบางประเทศยังซื้อน้ำมันจากอิหร่านต่อไป บริษัทเอกชนหลายประเทศยังสามารถทำธุรกิจกับอิหร่าน
เพราะอีกไม่นานทรัมป์จะอธิบายว่าการใช้มาตรการจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป
หรือไม่ก็ทำเป็นหลับหูหลับตา ไม่รู้ไม่เห็น
ประธานาธิบดีทรัมป์ก็เป็นเช่นนี้
ทั้งหมดขึ้นกับการเจรจา
12 สิงหาคม
2018
ชาญชัย
คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน
คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่
22 ฉบับที่ 7946 วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2561)
-----------------------
ทรัมป์ใช้ถ้อยคำรุนแรงโจมตีอิหร่านเรื่อยมา การพูดอีกรอบในช่วงนี้จึงอาจดูเหมือนไม่ใช่ของแปลกใหม่ แต่ถ้าคิดอย่างมีเหตุผล อาจเป็นการทดสอบปฏิกิริยาคนอเมริกันและอาจเล่นงานอิหร่านให้หนักกว่าเดิม
ไม่มีนิยามสากลว่าจันทร์เสี้ยวชีอะห์ครอบคลุมพื้นที่ใด
คำตอบที่ถูกต้องไม่มี เพราะแท้จริงแล้วไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนชัดเจน
เป้าหมายที่สร้างขึ้นเพื่อจะทำลาย
แม้โครงการนิวเคลียร์อิหร่านจะใช้เพื่อสันติเท่านั้น
แต่รัฐบาลทรัมป์กลับไม่ลดระดับภัยคุกคาม ซ้ำยังยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์เพื่อคงการคว่ำบาตร
แท้จริงแล้วการพูดถึงภัยคุกคามเป็นข้ออ้างมากกว่า
1. EU foreign policy chief calls on firms to defy Trump over
Iran. (2018, August 7). The Guardian. Retrieved from
https://www.theguardian.com/world/2018/aug/07/eu-foreign-policy-chief-calls-on-firms-to-defy-trump-over-iran
2. Trump Goes From Threatening Iran to Threatening the World. (2018, August 7). The Atlantic. Retrieved from https://www.theatlantic.com/international/archive/2018/08/trump-iran-tweet/566948/
3. Trump says anyone doing business with Iran will not be
doing business with the United States. (2018, August 7). Arab
News. Retrieved from http://www.arabnews.com/node/1352391/middle-east
4. We will fight for JCPOA, German FM says. (2018, August
9). Tehran Times. Retrieved from
http://www.tehrantimes.com/news/426317/We-will-fight-for-JCPOA-German-FM-says
-----------------------------