โอกาสเกิดสงครามล้างโลกนิวเคลียร์เป็นไปได้น้อยมาก ที่มีความเป็นไปได้มากขึ้นคือสหรัฐจะเป็นผู้ลงมือใช้ก่อนกับประเทศเล็กๆ
ยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์
(Nuclear Posture Review: NPR) เป็นแผนที่แยกออกเฉพาะจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ
และยุทธศาสตร์อื่นๆ เนื้อหายุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ฉบับปี 2018 ปรับเปลี่ยนจากอดีตเพราะเผชิญภัยคุกคามนิวเคลียร์หลากหลายกว่าเดิมและด้วยอาวุธทันสมัยกว่าเดิม
ภัยจาก 4 ประเทศที่เอ่ยถึงคือ รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือและอิหร่าน
เป็นเวลานานแล้วจนถึงในยุคโลกาภิวัตน์
การยอมรับความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐสัมพันธ์กับพลังอำนาจทางทหารโดยตรง สหรัฐเป็นประเทศที่มีงบประมาณทหารสูงสุด
มีกองทัพที่ทรงอานุภาพมากที่สุด การจัดเตรียมกองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังเตรียมทัพเพื่อทำสงครามใหญ่
เหตุผลที่สำคัญกว่าและใช้ได้มากกว่าคือภาพลักษณ์ความเป็นมหาอำนาจ เป็นความตั้งใจ
เป็นยุทธศาสตร์แม่บทที่จะรักษาสภาพเช่นนี้ ให้ทุกประเทศรู้ว่าสหรัฐสามารถโจมตีประเทศของท่านได้เสมอไม่ว่าจะตั้งอยู่
ณ ที่แห่งใดของโลก และรัฐบาลสหรัฐถือว่าภาวะเช่นนี้คือภาวะที่ประเทศตนมีความมั่นคงปลอดภัยมากสุด
ยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ล่าสุดเอ่ยถึงจุดประสงค์ข้อนี้อย่างชัดเจน
ตรงไปตรงมา รัฐบาลมีหน้าที่คงกำลังอาวุธนิวเคลียร์ให้เหนือทุกประเทศใดโลก
ด้วยความเชื่อว่านอกจากปลอดภัยแล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเจรจา เรื่องนี้สัมพันธ์กับเศรษฐกิจโดยตรง
เพราะสหรัฐมีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลก เป็นระบบที่เอื้อประโยชน์ต่อตน
วันใดที่ภาพลักษณ์ความเป็นมหาอำนาจหดหาย จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทันที เช่น
กระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ ข้อตกลงการค้าที่สหรัฐได้เปรียบ
ชมคลิปสั้น 3 นาที
ชมคลิปสั้น 3 นาที
หลักยุทธศาสตร์และข้อวิพากษ์ :
ยุทธศาสตร์ฉบับนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดการป้องปรามที่ยืดหยุ่น
เฉพาะเจาะจง (a flexible, tailored nuclear deterrent strategy) กับแต่ละประเทศ แต่ละสถานการณ์ ให้มั่นใจว่าจะไม่มีประเทศใดกล้าคิดทำสงครามด้วย
ไม่ว่าจะใช้นิวเคลียร์หรือไม่
ประเด็นน่าคิดคือรัฐบาลสหรัฐ
สื่อตะวันตกหลายสำนักมักพูดในทำนองว่าเกาหลีเหนือจะโจมตีสหรัฐ รัฐบาลสหรัฐจึงมีความชอบธรรมที่จะปิดล้อมคว่ำบาตร
แม้กระทั่งล้มระบอบเกาหลีเหนือ
แต่แท้จริงแล้วรัฐบาลสหรัฐรู้ดีกว่าเกาหลีเหนือไม่คิดทำเช่นนั้น
หากเพียงแค่คิดจริง ยังไม่เริ่มสงครามก็อาจถูกโจมตีย่อยยับก่อนแล้ว
แม้ใครคิดใช้นิวเคลียร์ไม่กี่ลูกก็จะถูกโต้กลับอย่างรุนแรงชนิดที่ไม่มีใครอยากเห็นเลย
ยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ 2018 อธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจน
การพูดว่าเกาหลีเหนือจะทำสงครามกับสหรัฐจึงเป็นโฆษณาชวนเชื่อ
(ยังไม่นับรวมเหตุผลของฝ่ายรัฐบาลเกาหลีเหนือ) ดังนั้น
ใครคิดว่าเกาหลีเหนือจะลงมือโจมตีสหรัฐด้วยนิวเคลียร์คือผู้ที่เชื่อคำโฆษณาจากรัฐบาลสหรัฐ
เป็นอีกหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ายุทธศาสตร์ของสหรัฐ
ขัดแย้งกันเอง ยุทธศาสตร์ด้านหนึ่งบอกว่าเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามร้ายแรง
พร้อมโจมตีสหรัฐด้วยนิวเคลียร์ แต่อีกฉบับบอกว่าเกาหลีเหนือจะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด
เหตุที่ยุทธศาสตร์ขัดแย้งกันเองเพราะมีเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อแฝงอยู่ด้วย
ให้คนอเมริกัน ชาวโลกเข้าใจผิด การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐทำเรื่อยมา
ผ่านหลายช่องทางแม้กระทั่งผ่านยุทธศาสตร์สำคัญๆ ของประเทศ
รัสเซียกับจีนท้าทายด้านนิวเคลียร์กับสหรัฐหรือ
:
ในยุคสงครามเย็นพอจะพูดได้ว่าโซเวียตรัสเซียแข่งกับสหรัฐ
พัฒนาและสะสมอาวุธนิวเคลียร์ แต่ในยุคปัจจุบันเป็นที่น่าสงสัยว่ารัสเซีย
(แม้กระทั่งจีน) กำลังพัฒนาและสะสมอาวุธนิวเคลียร์แข่งกับสหรัฐอีก
คำถามข้อนี้เป็นหัวใจสำคัญของความเข้าใจเรื่องนิวเคลียร์
ถ้ายอมรับว่าสหรัฐมีขีดความสามารถเหนือกว่า
คำถามคือใครเป็นฝ่ายตามหลังใคร ใครกำลังพัฒนาและสะสมนิวเคลียร์เพื่อป้องปรามใคร
คำตอบที่ได้อาจเป็นต่างป้อมปรามอีกฝ่าย
เพียงแต่ฝ่ายหลัง (ผู้มีขีดความสามารถด้อยกว่า) มีเพื่อการป้องปรามมากกว่า
ที่ต้องระลึกเสมอคือ
รัสเซียในปัจจุบันไม่มีความคิดรุกรานด้วยนิวเคลียร์ นิวเคลียร์รัสเซียมีเพื่อสร้างความเป็นมหาอำนาจ
รัสเซียในปัจจุบันคือประเทศที่กำลังฟื้นฟูตัวเอง รวมทั้งกำลังรบ เป็นฝ่ายตามหลังสหรัฐ
ดังนั้นถ้ามองว่าสหรัฐมีขีดความสามารถเหนือกว่า การฟื้นฟูกองทัพ ฟื้นฟูนิวเคลียร์ของรัสเซียคือการป้อมปรามไม่ใช่รุกราน
กรณีความขัดแย้งในยูเครน
ซีเรีย ถ้ารัสเซียไม่เข้มแข็งพอ รัฐบาลสหรัฐอาจไม่ลังเลใจที่จะแทรกแซงจัดการรัสเซียก็เป็นได้
สะสมนิวเคลียร์รอบใหม่เพราะปัจจัยภายในประเทศ
:
นักวิชาการอเมริกันบางคน รวมทั้งยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ฉบับล่าสุดของทรัมป์
ให้เหตุผลพัฒนาและสะสมอาวุธนิวเคลียร์รอบใหม่ด้วยเหตุผลปัจจัยต่างประเทศ
เรื่องน่าคิดคือ
เมื่อปีสองปีก่อน สมัยรัฐบาลโอบามายังพูดถึงการลดอาวุธนิวเคลียร์
ตรึงงบประมาณกลาโหม ไฉนทันทีเมื่อได้ประธานาธิบดีคนใหม่
นโยบายเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพิ่มงบประมาณกลาโหมมหาศาล พร้อมกับสร้างอาวุธนิวเคลียร์แบบยกเครื่องทั้งหมดในจำนวนใกล้เคียงปัจจุบัน
(ทั้งหัวรบ ขีปนาวุธ เครื่องบิน เรือดำน้ำและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง)
ถ้าเป็นเพราะบริบทเปลี่ยนไป
บริบทโลกเปลี่ยนมากขนาดนั้นหรือ กองทัพรัสเซียเปลี่ยนมากถึงเพียงนั้นหรือ
ถ้าจะตอบแบบระวังหน้าระวังหลัง
รัสเซียมีอาวุธนิวเคลียร์รุ่นใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่งและมีนโยบายสร้างเพิ่มอีก
จีนยังคงเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ 2
ปรปักษ์นิวเคลียร์สำคัญมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น
แต่ไม่สมเหตุสมผลพอที่รัฐบาลทรัมป์ต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมมากเพียงนั้น
และไม่จำต้องยกเครื่องกองกำลังนิวเคลียร์ทั้งหมดเต็มรูปแบบและให้มีปริมาณใกล้เคียงปัจจุบัน
ย้อนกลับไปที่รัฐบาลโอบามาให้ลดอาวุธนิวเคลียร์ ตรึงงบประมาณกลาโหม
เพียงเมื่อได้รัฐบาลใหม่ ประธานาธิบดีทรัมป์ทำสิ่งที่ตรงข้าม ชวนให้คิดว่าที่ทรัมป์ทำเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะปัจจัยภายนอก แต่เพราะปัจจัยภายในประเทศมากกว่า …
เป็นประเด็นที่ชาวอเมริกันควรใคร่ครวญ
ตรวจสอบว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่ เป็นอีกครั้งที่เกิดคำถามว่าระบอบประชาธิปไตยอเมริกาสามารถตรวจสอบรัฐบาลตัวเองได้มากแค่ไหน
โลกควรต่อต้านหากสหรัฐจะเป็นฝ่ายใช้ก่อน :
นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าความที่นานาชาติมั่นใจว่ารัฐบาลสหรัฐไม่ลังเลใจที่จะตอบโต้ด้วยนิวเคลียร์หากถูกโจมตีด้วยอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
(weapons of mass destruction: WMD) ส่วนรัสเซียที่มีจำนวนหัวรบพอๆ
กับสหรัฐรู้ดีว่าหากทำสงครามนิวเคลียร์จะหายนะด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่มีประเทศใดที่คิดจะใช้
WMD กับสหรัฐก่อน
ถ้าเช่นนั้น
อีกทางหนึ่งที่เป็นไปได้คือ สหรัฐจะเป็นฝ่ายใช้ก่อน
บรรณานุกรม :
รัฐบาลสหรัฐมียุทธศาสตร์
“ชิงลงมือก่อน” (preemption) เคยใช้มาแล้วหลายครั้ง
จึงต้องระวังที่จะชิงโจมตีก่อนด้วยอาวุธนิวเคลียร์ มีหลักฐานชัดเจนว่าตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมามีความคิดอย่างจริงจังที่จะใช้นิวเคลียร์หลายครั้ง
และตั้งแต่โลกมีอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศนี้เท่านั้นที่เคยใช้จริงกับประเทศอื่น
ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว จึงไม่อาจปฏิเสธว่ารัฐบาลสหรัฐจะไม่ใช้อีก
เพื่อสันติภาพโลก
โลกจะต้องต่อต้านรัฐบาลสหรัฐหากคิดจะเป็นฝ่ายใช้ก่อน
ไม่ว่าจะเป็นนิวเคลียร์ลูกเล็กหรือลูกใหญ่ จะใช้เพียงลูกเดียวหรือหลายลูก
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
ยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์
ฉบับปี 2018 ไม่ได้ฟันธงว่าสหรัฐจะเป็นฝ่ายใช้นิวเคลียร์ก่อน
แต่เมื่อพิจารณาความหมายระหว่างบรรทัดกับประวัติศาสตร์
โอกาสใช้มีน้อยมากแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่ใช้ และพร้อมที่จะเป็นฝ่ายเปิดฉากใช้ก่อน
ข้อสรุปบรรทัดสุดท้ายคือ
ในระยะสั้นโอกาสใช้น้อยมาก แต่ในอนาคตที่ยาวไกลขึ้น โอกาสใช้จะยิ่งมากขึ้น
ความเข้าใจที่สำคัญกว่าและพึงตระหนักอยู่เสมอคือ
ทุกวันนี้ใช้อยู่แล้วในแง่ข่มขู่คุกคาม ภายใต้การทูตนำการทหาร หรือการทูตที่มีการทหารสนับสนุน
บางคนอาจนึกถึง gunboat diplomacy เพียงแต่สาธารณชนทั่วไปไม่เห็นชัดเท่านั้น
ดูเหมือนว่าตัวยุทธศาสตร์ตั้งใจสื่อเช่นนั้นด้วย
มุ่งหมายให้บรรดาผู้ปกครองประเทศต่างๆ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทราบ
รัฐบาลสหรัฐใช้คำว่าต้องมีนิวเคลียร์เพื่อป้องปราม
คำถามคือใครเป็นฝ่ายป้องปรามใครกันแน่ หากวันนี้มีประเทศหนึ่งที่อยากมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ปกป้องอธิปไตยบ้าง
คิดว่าผลจะเป็นอย่างไร
ในอีกด้านหนึ่ง การมีอาวุธนิวเคลียร์จำนวนมากมาย
ชวนให้คิดว่าทำไมต้องมีมากจนเกินจำเป็นขนาดนั้น
สิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาลโดยใช่เหตุ พลเมืองอเมริกันต้องเสียภาษีเกินควรหรือไม่
ควรนำงบประมาณไปใช้ในทางอื่นๆ หรือไม่ หรืออย่างน้อยช่วยลดการก่อหนี้
ลดการขาดดุลที่เป็นปัญหาในขณะนี้
11
กุมภาพันธ์ 2018
ชาญชัย
คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน
คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่
22 ฉบับที่ 7764 วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561)
----------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ไม่แปลกที่รัฐบาลทรัมป์ยึดหลักสัจนิยม
แต่ต้องศึกษาลงในรายละเอียดว่าอะไรกันแน่ที่รัฐบาลต้องการ สันติสุขหรือความรุนแรง
เป็นประโยชน์ต่อชาวอเมริกันหรือน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่า
1. Gray, Colin S. (2007). War Peace and
International Relations: An introduction to strategic history. Oxon: Routledge.
2. Huntington, Samuel P. (1996/2011). The Clash of
Civilizations and the Remaking of World Order. New York: Simon &
Schuste.
3. Stockholm
International Peace Research Institute. (2017). TRENDS IN WORLD NUCLEAR
FORCES,
2017. Retrieved from https://www.sipri.org/sites/default/files/2017-06/fs_1707_wnf.pdf
4. U.S. Department
of Defense. (2018). Nuclear
Posture Review 2018. Retrieved from https://media.defense.gov/2018/Feb/02/2001872886/-1/-1/1/2018-NUCLEAR-POSTURE-REVIEW-FINAL-REPORT.PDF
5. Wirtz, James J., Larsen, Jeffrey A. (2005). Nuclear
Transformation: The New Nuclear U.S. Doctrine. New York: PALGRAVE MACMILLAN.
-----------------------------