“คนรวย” รวยขึ้น “คนจน” จนลง ปัญหาและทางออก
โลกต้องชื่นชมเศรษฐีผู้สร้างความร่ำรวยเพื่อมุ่งช่วยเหลือสังคมให้เป็นอารยะ
ไม่ส่งเสริมยกย่องเศรษฐีที่ไม่ดูแลสังคมอย่างจริงจัง ยึดหลัก “เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข”
อยากเห็นผู้อื่นมีความสุขเหมือนตนเอง
โลกทุกวันนี้แม้จะเจริญก้าวหน้าแต่การพัฒนาไม่ได้เกิดเท่ากัน
หลายส่วนยังขาดการพัฒนาอีกมาก ความแตกต่างเกิดในหลายระดับ เช่น ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับกำลังพัฒนา
ระหว่างเมืองกับชนบท แม้กระทั่งระหว่างเมืองด้วยกันเอง
ความรวยความจนเป็นประเด็นระดับโลก มีผลต่อความเป็นไปของโลกทั้งทางบวกและลบ
สร้างปัญหาต่อประเทศอื่นๆ เช่น แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ผู้อพยพเข้าเมืองจากภัยธรรมชาติ
ต้นเหตุอาชญากรรมหลายประเภท
ความยากจนยังหมายถึงกำลังซื้อที่ลดต่ำ
หากเศรษฐกิจสหรัฐโตน้อยกว่าคาดจะส่งผลกระทบทั่วโลก
การแก้ไขจึงเป็นระดับโลก
เช่น พูดถึงระบบเศรษฐกิจโลก แนวคิดแก้ไขความยากจนโลก แต่ไม่ใช่ทุกประเทศจะเห็นตรงกันและขึ้นกับนโยบายของแต่ละรัฐบาล
รัฐบาลบางชุดเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือประเทศยากจน ในขณะที่บางชุดปรับลดงบประมาณ
ชมคลิปสั้น 3 นาที
ชมคลิปสั้น 3 นาที
คนเพียงร้อย 1 ที่ครองรายได้ร้อยละ 82 ของโลก
:
Oxfam International รายงานว่าปีที่แล้วช่องว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้น
ปัจจุบันทั้งโลกมีมหาเศรษฐีพันล้าน 2,043 คน ปีที่แล้วเพียงปีเดียวทั้งหมดรวยขึ้น
762,000 ล้านดอลลาร์ (เฉลี่ยคนละ 373 ล้านดอลลาร์)
ข้อมูลจาก Bloomberg
ระบุว่าปีที่แล้วมหาเศรษฐี 500 คนแรก มีรายได้รวมกันถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
มากกว่าปีก่อนหน้านั้น (2016) ถึง 4 เท่า ส่วนหนึ่งมาจากราคาหุ้นที่ขยับสูงขึ้น
Winnie Byanyima จาก
Oxfam International ชี้ว่า
“เป็นความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจ” คนเย็บเสื้อ คนงานประกอบโทรศัพท์ ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีด
และเป็นเรื่องน่าละอายของรัฐบาลทั้งหลายที่คนเพียงร้อยละ 1
ถือครองความมั่งคั่งที่ส่วนใหญ่ ในขณะที่คนนับพันล้านคนต้องปากกัดตีนถีบ
นับจากปี 2010 เป็นต้นมา
รายได้ของพวกมหาเศรษฐีพันล้านเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 13 ต่อปี
ในขณะที่รายได้ของคนทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ต่อปี บ่งชี้ว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้นเรื่อยมา
มหาเศรษฐีธุรกิจเสื้อผ้าทำงานเพียง 4
วันจะมีรายได้เท่ากับช่างเย็บเสื้อผ้าบังคลาเทศทำงานทั้งชีวิต รายได้ของ CEO อเมริกันเพียงวันเดียวเท่ากับค่าแรงทั้งปีของคนอเมริกันทั่วไป
แรงงานสตรีอยู่ในกลุ่มมีรายได้ต่ำสุด เป็นเช่นนี้ทั่วโลก
เรื่องค่าแรงเป็นประเด็นหนึ่งเท่านั้น แรงงานหญิงหลายคนต้องทำงานไกลบ้าน จากลูกกับสามี
เพียงเพื่อได้ค่าแรงต่ำๆ บางคนไม่เห็นหน้าลูกคราวละหลายเดือน
แรงงานบางประเภทในสหรัฐต้องใส่ผ้าอ้อมเพราะไม่อนุญาตให้เข้าห้องน้ำขณะทำงาน
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะบริษัทมุ่งให้ประโยชน์แก่เจ้าของกิจการกับผู้ถือหุ้น
พยายามตักตวงประโยชน์จากแรงงาน ละเมิดสิทธิแรงงาน บริษัทเอกชนรายใหญ่มีอิทธิพลกำกับนโยบายรัฐ
แนวทางที่นายทุนใช้คือให้แรงงานส่วนใหญ่พออยู่ได้
มุ่งบริโภคสินค้าราคาถูก เป็นโอกาสนายทุนตักตวงผลประโยชน์จากการนี้
ทางออก :
Oxfam
เสนอแนวทางหลายข้อ เริ่มจากต้องจำกัดผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นกับผู้บริหารระดับสูง
แรงงานทุกคนจะต้องมีรายได้มากพอสำหรับคุณภาพชีวิตที่ดี ยกตัวอย่าง
อัตราค่าแรงขั้นต่ำของไนจีเรียควรสูงกว่านี้ 3 เท่า แก้ปัญหาค่าแรงเหลื่อมล้ำระหว่างหญิงกับชาย
ปกป้องสิทธิสตรี ผู้มีรายได้สูงต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าและไม่เปิดช่องให้เลี่ยงเสียภาษี
เพิ่มงบประมาณด้านสาธารณสุขและการศึกษา หากเศรษฐีพันล้านจ่ายภาษีเพิ่มร้อยละ
1.5 จะมีงบประมาณให้เด็กทุกคนทั่วโลกได้เรียนหนังสือ
Byanyima ชี้ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือไม่ใช่คนไม่รู้ปัญหา
นักการเมือง นักธุรกิจล้วนรู้ปัญหา
แต่น้อยคนนักที่หาคนผู้ลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ตรงกันข้ามผู้มีอำนาจไม่ว่าจะการเมืองหรือเศรษฐกิจพยายามลดภาษี ละเมิดสิทธิแรงงาน
ระบบเศรษฐกิจเป็นประโยชน์แก่ใคร :
ลำพังจะโทษปัจจัยภายนอก ปัจจัยระดับประเทศเท่านั้นไม่ถูกต้อง สังคมไม่ควรส่งเสริมคนขี้เกียจ
ไม่เก็บออม อยู่ไปวันๆ ควรตอบแทนคนขยัน ตั้งใจทำงาน รู้จักเก็บออม
นี่คือมาตรฐานเบื้องต้นที่ควรยึดถือ
แต่ทำไมคนขยันคนเก็บออมบางประเทศจึงไม่มั่งคั่งเท่ากับคนอีกประเทศหนึ่ง
...
เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ
เป็นผลจากความคิด การบังคับใช้ ตั้งแต่ระดับโลก ระดับประเทศ
จนถึงระดับล่างสุดของสังคม
ชาติตะวันตกโดยเฉพาะรัฐบาลสหรัฐเป็นผู้วางระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบันและผลักดันให้นานาชาติใช้
ประเทศพัฒนาแล้วมักกดประเทศกำลังพัฒนาให้อยู่ในฐานะเสียเปรียบ สภาพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
ในยุคอาณานิคมหมู่ประเทศเจ้าอาณานิคมจะให้อาณานิคมผลิตและขายพวกวัตถุดิบ อย่างเช่นฝ้าย
ข้าว ยางพารา อ้อย น้ำมัน แร่ชนิดต่างๆ ในราคาถูก
ส่วนพวกเขาจะนำเข้าวัตถุดิบเหล่านี้ผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งขาย เช่น เสื้อผ้า
เครื่องจักรกล รถยนต์ ในราคาที่สูงกว่ามาก
ผลคือประเทศเจ้าอาณานิคมเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า
ได้ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศมากกว่า
สภาพเช่นนี้ยังพอเห็นได้ในปัจจุบันเพียงเปลี่ยนเป็นประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา
หากจะแก้ปัญหาความยากจนจึงต้องรู้และเข้าใจเรื่องทำนองนี้
นำสู่การแก้ไขตรงจุด
ในช่วง
2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้วิพากษ์การใช้ลัทธิปกป้องการค้า (protectionism) โดยรัฐบาลทรัมป์ ความจริงแล้ว รัฐบาลสหรัฐใช้ลัทธิปกป้องการค้ามาหลายครั้ง
พูดให้ถูกต้องกว่านี้คือใช้เรื่อยมา ต่างตรงระดับความเข้มข้นเท่านั้น
เหตุการณ์หนึ่งที่ควรเอ่ยถึงคือ
เดิมนั้นเศรษฐกิจสหรัฐตามหลังอังกฤษ Alexander Hamilton นำเสนอ
“Report on Manufactures” แนวทางคือใช้ลัทธิปกป้องการค้า
ด้วยการตั้งกำแพงภาษีเพื่อกีดกันสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เปิดทางให้ผู้ประกอบการในประเทศได้ลงทุนค้าขายโดยปราศจากคู่แข่ง
จนมีกำไรกลายเป็นบริษัทที่เข้มแข็งสู้ต่างชาติได้
สิ่งที่รัฐบาลทรัมป์ทำจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
เพียงแต่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดตรงไปตรงมามากกว่าอดีตประธานาธิบดีบางท่าน และพึงเข้าใจว่า
“การค้าเสรี” หมายถึงการค้าในหมวดหมู่สินค้าบริการที่ประเทศเขาได้ประโยชน์ จึงให้ทุกประเทศเปิดเต็มที่
เพื่อตักตวงผลประโยชน์ได้มากที่สุด อนึ่ง
ประเทศที่เปิดเสรีด้วยก็ได้ประโยชน์เช่นกัน จุดสำคัญคือต้องเป็นข้อตกลงที่ประเทศมหาอำนาจหรือมีอำนาจเหนือกว่าเป็นฝ่ายได้มากกว่า
การปรับแก้ไขข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่นๆ เช่น NAFTA
เป็นกรณีตัวอย่างที่ดี (ปรับแก้เพื่อคงความเป็นผู้ได้ผลประโยชน์มากกว่า)
ผู้มีบารมีครองโลก :
ถ้ามองในกรอบเศรษฐกิจอย่างเดียวอาจตีความว่านายทุนคือผู้ครองโลก
หากมองให้กว้างขึ้นนายทุนหรือนักธุรกิจพันล้านไม่ได้ทำงานคนเดียว เป็นผลอันซับซ้อนจากระบบอำนาจโลกในหลายมิติ
ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร นักวิชาการบางส่วน ฯลฯ
คนเหล่านี้ไม่ใช่คนพวกเดียวหรือเป็นกลุ่มเดียวกัน
ทั้งหมดเห็นผลประโยชน์ในส่วนที่ตนได้ อาจกล่าวรวมๆ ได้ว่าคือความร่วมมือของผู้มีบารมีที่ยึดผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
แม้กระทั่งนักวิชาการบางส่วนบางสถาบันที่พร่ำสอนประโยชน์ของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม
ตำราที่สอนให้เข้าใจการค้าเสรีอย่างบิดเบือน
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจคือตัวย่างข้อเสียที่เอ่ยถึงตั้งแต่เริ่มทุนนิยม
ที่ผ่านมาถูกปกปิด ลดทอน ให้มองเป็นปัญหาเล็ก แต่ปัจจุบันการสื่อสารดีขึ้น คนมีความรู้การศึกษาสูงขึ้น
เข้าถึงข้อมูลมากขึ้น จึงมีผู้นำเสนอความเหลื่อมล้ำอย่างต่อเนื่องชัดเจน
และบัดนี้สังคมโลกไม่อาจปฏิเสธช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ถ่างกว้างออกมาขึ้นทุกที
ทั้งๆ ที่คนจนหลายคนขยันทำงาน พยายามเก็บออม
มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถเขยิบฐานะเศรษฐกิจ ในขณะที่คนจำนวนมากขาดโอกาส
เข้าไม่ถึงแหล่งทุน ทรัพยากร
ความสุดโต่ง 2 ด้าน ยากจนกับรวยเกิน :
ความยากจนไม่ใช่เรื่องดี
ทำไมต้องยากจนถึงขนาดสูญเสียโอกาส เช่น เป็นเด็กยากจนจึงไร้การศึกษา
ไม่สามารถหาการงานที่ดีพอเลี้ยงครอบครัว ยากจนถึงขั้นต้องทำงานผิดกฎหมาย
อยู่ในสังคมที่โหดร้ายทารุณ
ในขณะที่
การให้ทุกคนมีเท่ากันทั้งๆ ที่ขยันตั้งใจต่างกันก็ไม่สมเหตุผล
คนขยันทำงาน
มีความคิดอ่านและเก็บออมควรร่ำรวย แต่ความร่ำรวยที่มากเกินพอ
ไม่สร้างประโยชน์ต่อสังคม มีแต่ทำให้สังคมมุ่งแสวงหาความสุขจากวัตถุ กดขี่เบียดเบียนผู้อื่น
ก่อปัญหามากมายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
แนวทางที่เหมาะสมคือต้องมุ่ง
“ต่อต้านความยากจนและร่ำรวยเกินพอ” เริ่มด้วยการปรับทัศนคติ โลกต้องชื่นชมเศรษฐีผู้สร้างความร่ำรวยเพื่อมุ่งช่วยเหลือสังคมให้เป็นอารยะ
ไม่ส่งเสริมยกย่องเศรษฐีที่ไม่ดูแลสังคมอย่างจริงจัง
พร้อมกับต่อต้านความเกียจคร้าน
อยู่ไปวันๆ ไม่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
ในระบบประชาธิปไตยหรือระบอบปกครองใดๆ
ผู้นำประเทศ นักการเมือง
พรรคการเมืองที่ยึดอุดมการณ์ต่อต้านความยากจนและร่ำรวยเกินเช่นนี้ควรได้รับการสนับสนุน
แทนที่จะหาเสียงด้วยการช่วยให้หายจนเพียงอย่างเดียว
ต้องสนับสนุนคนรวยหรืออยากรวยเพื่อช่วยสังคมด้วย ยึดหลัก “เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข”
อยากเห็นผู้อื่นมีความสุขเหมือนตนเอง
28 มกราคม 2018
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 22 ฉบับที่ 7750 วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ.2561)
----------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
นโยบายเดินเรือเสรี นโยบายจักรวรรดินิยมสหรัฐ
คำว่าเดินเรือเสรี
ฟังดูผิวเผินเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
แต่คำว่าเดินเรือเสรีของรัฐบาลหมายถึงเฉพาะสหรัฐเท่านั้นที่มีความเสรีเป็นพิเศษเหนือประเทศอื่นๆ
ส่วนประเทศอื่นๆ ที่เรือจะต้อง “เสรีภายใต้กรอบระเบียบที่วางไว้”
ซึ่งเสรีน้อยกว่าของสหรัฐ
อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐจะใช้ทุกวิธีเพื่อกดดันบังคับให้นานาประเทศต้องอยู่ภายใต้เสรีตามระเบียบดังกล่าว
เป็นตัวอย่างความเป็นจักรวรรดินิยม
วิสัยทัศน์โอบามาระบบโลกใหม่ที่ควบคุมทุกรัฐบาลทั่วโลก
ประธานาธิบดีโอบามาเห็นว่าในอนาคตจะมีประเทศที่เกิดเหตุจลาจล
สังหารหมู่ประชาชน แต่ปัจจุบันขาดสถาบันทางการเมืองระหว่างประเทศที่เข้าจัดการอย่างมีประสิทธิ
จึงเสนอความเห็นผ่านที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติเพื่อสร้างองค์กรหรือระบบที่สามารถเข้าควบคุมจัดการ
อันจะส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั้งหมดให้ดำเนินในมาตรฐานเดียวทั่วโลก
บรรณานุกรม :
1. D'Anieri, Paul. (2012). International Politics: Power
and Purpose in Global Affairs. USA: Wadsworth.
2. Oxfam International. (2018, January). Reward work, not
wealth. Retrieved from https://www.oxfam.org/sites/www.oxfam.org/files/file_attachments/bp-reward-work-not-wealth-220118-en.pdf
3. Oxfam International. (2018, January 19). Richest 1
percent bagged 82 percent of wealth created last year - poorest half of
humanity got nothing. Retrieved from https://www.oxfam.org/en/pressroom/pressreleases/2018-01-19/richest-1-percent-bagged-82-percent-wealth-created-last-year
4. World Inequality Grows Amid Glut of New Billionaires,
Oxfam Says. (2018, Jan 22). Bloomberg. Retrieved from https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-01-22/world-inequality-grows-amid-glut-of-new-billionaires-oxfam-says
5. World's Wealthiest Became $1 Trillion Richer in 2017.
(2017, December 27). Bloomberg. Retrieved from https://www.bloomberg.com/news/articles/2017-12-27/world-s-wealthiest-gain-1-trillion-in-17-on-market-exuberance
-----------------------------