ถอดรหัสสัมพันธ์แนบแน่นรัฐบาลสหรัฐกับซาอุฯ (2)
ในที่ประชุม “Arab Islamic American Summit” ประธานาธิบดีทรัมป์เอ่ยชื่อ IS/ISIL/ISIS อัลกออิดะห์ (Al Qaeda) ฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ฮามาส (Hamas) และกลุ่มอื่นๆ ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
ชูประเด็นก่อการร้าย :
สหประชาชาติมีการสรุปว่าใครหรือกลุ่มใดเป็นผู้ก่อการร้าย
มีหลายกลุ่มที่เห็นต่างกัน บางประเทศบอกว่าเป็นผู้ก่อการ้ายแต่สหประชาชาติกับประเทศอื่นๆ
เห็นว่าไม่เป็น ในระยะหลังหลายประเทศลดความสำคัญของสหประชาชาติ
ตีตราด้วยตนเองว่าใครเป็นผู้ก่อการร้าย และปฏิบัติต่อกลุ่มเหล่านี้ตามที่ตนเห็นชอบ
เรื่องนี้สะท้อนความจริงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถึงความจำกัดของสหประชาชาติ
การคงอยู่ของทฤษฎีสัจนิยม (Realism) โลกอยู่ภายใต้กฎแห่งป่า
(law of the jingle) แต่ละรัฐจะต้องปกป้องผลประโยชน์สำคัญยิ่ง
(vital interest) ด้วยตัวเอง เช่น ปกป้องอิสรภาพทางการเมืองและอธิปไตยแห่งดินแดนด้วยทุกวิธีที่จำเป็น
ไม่มีองค์การระหว่างประเทศใดที่ควบคุมรัฐทั้งหลายอย่างมีประสิทธิภาพ
เชื่อมโยงอิหร่านกับก่อการร้าย :
กษัตริย์ Salman
Bin Abdul Aziz ตรัสว่า “การประชุมแสดงให้เห็นชัดว่าชาติอาหรับกับอิสลามผู้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด
55 ประเทศ อันประกอบด้วยประชากรกว่า 1,500 ล้าคน ร่วมเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการต่อสู้พลังลัทธิสุดโต่ง
(extremism) กับลัทธิก่อการร้าย (terrorism) เพื่อสันติภาพ ความมั่นคงและเสถียรภาพโลก” การประชุมช่วยกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐ
บางช่วงตรัสผูกโยงกับศาสนาว่า
“ด้วยความรับผิดชอบต่ออัลเลาะห์ (Allah) ต่อประชาชนของเราและต่อโลก
เราจะยืนเคียงข้างต่อสู้พลังความชั่ว (forces of evil) กับลัทธิสุดโต่ง”
“ทุกวันนี้เราเห็นบางคนที่คิดว่าตัวเขาเป็นมุสลิมพยายามบิดเบือนภาพลักษณ์ศาสนา
พยายามเชื่อมโยงศาสนาอันยิ่งใหญ่นี้เข้ากับความรุนแรง” ซึ่งขัดแย้งกับหลักศาสนา
จากนั้นพูดโยงอิหร่านกับกลุ่มก่อการร้ายว่า
“ระบอบอิหร่านกับกลุ่มและองค์กรใกล้ชิดอย่างฮิซบอลเลาะห์ ฮามาส รวมทั้ง ISIS
(Daesh) อัลกออิดะห์ และอีกหลายกลุ่มเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน” พวกนี้
“พยายามหาประโยชน์จากอิสลาม (exploit Islam)
เพื่อปิดบังเป้าหมายทางการเมืองที่สร้างความเกลียดชัง ความสุดโต่ง การก่อการร้าย
ความขัดแย้งทางศาสนาและนิกาย”
“ตั้งแต่ปฏิวัติโคไมนีจนถึงทุกวันนี้
ระบอบอิหร่านคือหัวหอกก่อการร้ายโลก” ย้อนหลัง 300 ปี
ประเทศนี้ไม่เคยก่อการร้ายหรือแสดงความสุดโต่งจนกระทั่งการปฏิวัติโคไมนีเมื่อปี 1979
อิหร่านปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนบ้าน เป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูงชอบขยายอำนาจ (expansionist
ambitions) พวกก่ออาชญากรรม แทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่างๆ
ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ละเมิดหลักการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้าน
การเคารพซึ่งกันและกัน
อีกตอนหนึ่งกษัตริย์
Salman ตรัสว่า “ความรับผิดชอบของเราต่อพระเจ้า
ประชาชนและโลกทั้งมวลคือ การยืนเคียงข้างต่อสู้พลังความชั่วและความสุดโต่งในทุกแห่งที่พวกเขาปรากฏ
... ระบอบอิหร่านคือหัวหอกของก่อการร้ายโลก”
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์เรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมกันโดดเดี่ยวอิหร่าน
ชี้ว่าเป็นผู้สร้างความแตกแยกทางศาสนาและโหมไฟก่อการร้าย
“ทุกประเทศต้องร่วมกันโดดเดี่ยว
จนกว่าระบอบอิหร่านตั้งใจจะเป็นส่วนหนึ่งของสันติภาพ”
“อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อความไร้เสถียรภาพของภูมิภาค ให้อาวุธ
ฝึกกองกำลังที่สร้างความวุ่นวายและทำลายล้าง” รัฐบาลอิหร่านทำร้ายพลเมืองตนเองเพราะรัฐบาลสร้างความขัดแย้งและกระทำการทารุณ
ยุทธศาสตร์สร้างศัตรูพร้อมข้ออ้าง :
20 กันยายน 2001
เพียง 9 วันหลังเกิดเหตุ 9/11 ประธานาธิบดีบุชแถลงต่อรัฐสภาว่าอัลกออิดะห์คือผู้ลงมือ 7 ตุลาคม 2001 สหรัฐกับอังกฤษร่วมโจมตีทิ้งระเบิดอัฟกานิสถาน
เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันก็สามารถยึดครองกรุงคาบูล แต่สงครามเพิ่งจะเริ่มต้น
เมื่อเข้าปี 2002
รัฐบาลบุชให้ความสนใจต่ออิรัก หน่วยข่าวกรองรายงานว่าอิรักยังคงพัฒนาและผลิตอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
(weapons of mass destruction: WMD) ติดต่อกับอัลกออิดะห์
ทุกวันนี้พิสูจน์แล้วว่าข้อสรุปเหล่านี้ผิดพลาด
Paul Wolfowitz รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นยอมรับในเวลาต่อมาว่าจำต้องอ้างเรื่อง
WMD เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนยอมรับได้ ส่วน Colin
Powell ยอมรับว่าสหรัฐไม่มีหลักฐานใดๆ
พิสูจน์ว่ารัฐบาลซัดดัมมีความเชื่อมโยงกับพวกอัลกออิดะห์
ที่ผ่านมาเป็นเพียงข้อสงสัยเท่านั้น
ทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าที่อิรัก สหรัฐหรือประเทศใดๆ มีต้นเหตุจาก “ข้อสงสัย” เท่านั้น แต่นี่คือยุทธศาสตร์สร้างศัตรูพร้อมข้ออ้างของสหรัฐที่ใช้กับอิรัก
การรุกรานอิรักโค่นลัมซัดดัมทำให้อิหร่านวิตกกังวล
เพราะบัดนี้กองทัพอเมริกันนับแสนอยู่ติดพรมแดน ประธานาธิบดีมาห์มุด อาห์มาดิเนจาด
(Mahmoud Ahmadinejad)
ในขณะนั้นจึงเร่งพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ ตั้งใจแสดงให้เห็นว่าอิหร่านแกร่งพอที่เผชิญหน้าโดยตรงกับสหรัฐ
ไม่หวั่นเกรงความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐแต่อย่างไร
ต่อมาระดับภัยคุกคามลดลงเมื่อสหรัฐได้ประธานาธิบดีโอบามา
สั่งถอนทหารออกจากอิรักกับอัฟกานิสถาน พร้อมกับการก้าวขึ้นมาของประธานาธิบดี
ฮัสซัน โรฮานี (Hassan Rohani) ผู้นำอิหร่านคนใหม่
(และคนปัจจุบัน) จึงเปิดเจรจาแก้ปัญหาโครงการนิวเคลียร์จนได้ข้อยุติในปลายสมัยรัฐบาลโอบามา
ปัจจุบันโครงการอยู่ภายใต้การตรวจสอบดูแลจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ
(International Atomic Energy Agency: IAEA) ไม่มีเครื่องบ่งชี้ว่าอิหร่านกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
รัฐบาลสหรัฐกับซาอุฯ จึงไม่อาจหาเรื่องอิหร่านจากประเด็นนี้อีก
ชูประเด็นก่อการร้าย :
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่สามารถเล่นงานอิหร่านด้วยประเด็นโครงการพัฒนานิวเคลียร์
รัฐบาลสหรัฐในสมัยโอบามาแจงว่ามีประเด็นอื่นๆ ที่สามารถคว่ำบาตรอิหร่านต่อไป
ยกตัวอย่าง มีนาคม
2015 Susan E. Rice ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีโอบามา
กล่าวอย่างชัดเจนว่านอกจากโครงการนิวเคลียร์ที่เป็นปัญหาแล้ว
อิหร่านยังเป็นภัยคุกคามจากอีกหลายประเด็น เช่น สนับสนุนก่อการร้าย
ละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง พยายามบั่นทอนเสถียรภาพของประเทศเพื่อนบ้าน
สนับสนุนอัสซาด ฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ คุกคามอิสราเอลอย่างหนัก รัฐบาลสหรัฐจะยังคงคว่ำบาตรอิหร่านในประเด็นเหล่านี้
จะยังคงต้านภัยคุกคามเหล่านี้
แถลงการณ์ของประธานาธิบดีบารัก โอบามา
ในวาระบรรลุร่างข้อตกลงถาวรโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ความตอนหนึ่งว่าการผ่อนคลายมาตรการทำเฉพาะกับส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์เท่านั้น
สหรัฐยังคงการคว่ำบาตรอิหร่านต่อไปจากเหตุผลอื่นๆ เช่น
การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน การพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป
จะเห็นว่ารัฐบาลโอบามาพูดอย่างชัดเจนว่าแม้ไม่คว่ำบาตรอิหร่านด้วยประเด็นนิวเคลียร์
แต่ยังคงคว่ำบาตรด้วยเหตุอื่นๆ อีกมาก หนึ่งในนั้นคือก่อการร้าย
ปลายสมัยโอบามามีการทบทวนนโยบายต่อต้านก่อการร้าย
ยืนยันอิหร่านเป็นหนึ่งในประเทศผู้สนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย เป็นไปได้ว่าฝ่ายยุทธศาสตร์ประเมินแล้วว่าในอนาคตจะเล่นงานอิหร่านด้วยประเด็นก่อการร้าย
และเป็นเช่นนั้นจริงเมื่อเข้าสมัยทรัมป์
ถ้าไม่วิเคราะห์เชิงลึก ไม่มีอะไรใหม่ :
ถ้าไม่พูดถึงการวิเคราะห์เชิงลึก
การประชุมสุดยอด Arab Islamic American Summit ไม่มีอะไรใหม่
เพราะรัฐบาลสหรัฐกับฝ่ายซาอุฯ ประกาศต่อต้านอิหร่านตั้งแต่ปฏิวัติอิหร่านเมื่อ
1979 แล้ว
มกราคม 2002 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช ประกาศว่าอิรัก
อิหร่านและเกาหลีเหนือเป็น “axis of evil” บัดนี้เหลือเพียงอิหร่านกับเกาหลีเหนือ
ผลการประชุมล่าสุดคือการตอกย้ำนโยบายต่อต้านอิหร่าน
ด้านประธานาธิบดีโรฮานีพูดเป็นนัยเตือนสหรัฐหากคิดทำสงคราม
“พวกอเมริกันไม่รู้จักภูมิภาคของเรา ... พวกเขาทำพลาดเมื่อโจมตีอัฟกานิสถาน อิรัก
คว่ำบาตรอิหร่าน และพวกเขาทำผิดพลาดอีกในซีเรีย รวมทั้งที่เยเมน”
เรื่องราวอิหร่านยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้
เรื่องที่ไม่ค่อยพูด รัฐบาลสหรัฐกับขั้วซาอุฯ
สนับสนุนผู้ก่อการร้าย :
ข้อมูลจากบางแหล่งชี้มานานแล้วว่าในขณะที่รัฐบาลสหรัฐกับขั้วซาอุฯ
กล่าวหาอิหร่านสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย รัฐบาลสหรัฐกับขั้วซาอุฯ สนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายเช่นกัน
ยกตัวอย่าง Al-Nusra Front เป็นพวกซุนนีหัวรุนแรง จัดอยู่ในกลุ่มพวกอัลกออิดะห์ เป็นที่ยอมรับทั่วไปว่ารัฐอาหรับบางประเทศให้การสนับสนุน
Al-Nusra Front โค่นล้มระบอบอัสซาด เป็นไปได้ว่า
Al-Nusra Front ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อโค่นล้มระบอบอัสซาดโดยเฉพาะ
ทำให้ซีเรียปั่นป่วนวุ่นวาย
31 พฤษภาคม 2013 คณะมนตรีความมั่นคงมีมติคว่ำบาตร Al-Nusra Front
ในฐานะเป็นผู้ก่อการร้าย ห้ามขายหรือสนับสนุนอาวุธแก่กลุ่มดังกล่าว พร้อมกับอายัดทรัพย์สินต่างๆ
แต่ยังปรากฏข้อมูลและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปอีกว่ารัฐอาหรับบางประเทศยังคงให้การสนับสนุน
Al-Nusra Front โค่นล้มระบอบอัสซาดอยู่ดี ด้านขั้วซาอุฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้
ถ้ายึดตามแนวคิดว่าสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย
เวลาที่รัฐบาลสหรัฐกับขั้วซาอุฯ ประกาศสงครามต่อต้านก่อการร้ายจึงหมายถึง
"บางกลุ่ม" เท่านั้น อย่างน้อยไม่ใช่กลุ่มที่พวกเขาสนับสนุน
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นความจริงที่ปรากฏในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศปัจจุบัน
เกิดคำถามว่ารัฐบาลเสรีประชาธิปไตยอย่างสหรัฐคืออะไร อะไรคือความดีความชั่วที่พูดถึง
ทุกคนควรตั้งคำถามและลองตอบคำถามนี้ด้วยตัวเอง
4 มิถุนายน 2017
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 21 ฉบับที่ 7513 วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2560)
----------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ในที่ประชุม “Arab Islamic American
Summit” ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงท่าทีเป็นมิตรกับรัฐบาลซาอุฯ
ท่ามกลางผู้นำชาติอาหรับ ผู้นำมุสลิมประเทศอื่นๆ รวม 55 ประเทศ
วัตถุประสงค์หลักคือร่วมต่อต้านก่อการร้ายซึ่งหมายถึงมุสลิมสุดโต่งกับอิหร่าน
เป็นอีกครั้งที่ทรัมป์พูดถึงความดีความชั่ว ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือดำเนินนโยบาย ยอมรับว่าแนวทางศาสนาของซาอุฯ
เข้าได้กับนโยบายของตน
2.‘อิสลามหัวรุนแรง’ของทรัมป์: “It's not personal, ...”
บรรณานุกรม:
ผู้ที่เข้าใจมาตรการป้องกันก่อการร้ายของสหรัฐจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้อเรียกร้องของโดนัลด์
ทรัมป์ที่ให้ตรวจตราติดตามมุสลิมทุกคนเปล่าประโยชน์
เพราะตามกฎหมายแล้วใครก็ตามที่เข้าข่ายต้องสงสัยจะถูกตรวจสอบติดตามทันทีไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่
ข้อเสนอของทรัมป์ช่วยให้เขาได้คะแนนนิยมทิ้งห่างผู้สมัครพรรคเดียวกัน
ความจริงคือไม่ว่า “อิสลามหัวรุนแรง” เป็นภัยคุกคามจริงแท้เพียงไร
ชาวอเมริกันที่ชื่นชอบพรรครีพับลิกันหลายคนเชื่อเช่นนั้น มุสลิมอเมริกัน 3
ล้านคนจึงกลายเป็นแพะรับบาปเพราะทรัมป์
1. Arab-Islamic-American Summit fosters global peace,
stability. (2017, May 22). Arab News. Retrieved from
httphttp://www.arabnews.com/node/1103126/saudi-arabia
2. Cleveland, William L. & Bunton, Martin. (2013). A
History of the Modern Middle East (Fifth Edition). USA: Westview
Press.
3. Engdahl, William. (2004). A Century of War:
Anglo-American Oil Politics and the New World Order, (Revised Ed.). London:
Pluto Press.
4. FULL TEXT: President Donald Trump's Inauguration Speech.
(2017, January 20). ABC News. Retrieved from http://abcnews.go.com/Politics/full-text-president-donald-trumps-inauguration-speech/story?id=44915821
5. ‘Iran at forefront of global terrorism,’ says King
Salman. (2017, May 21). Al Arabiya. Retrieved from
http://english.alarabiya.net/en/News/gulf/2017/05/21/-Iran-at-forefront-of-global-terrorism-says-King-Salman.html
6. Ismael, Tareq
Y., & Haddad, William W. (2004). Iraq: The Human Cost of History.USA:
Pluto Press.
7. Justin P. Coffey and Paul G. Pierpaoli Jr.. (2010). Bush,
George Walker. In The Encyclopedia of Middle East Wars: The United States
in the Persian Gulf, Afghanistan, and Iraq Conflicts. (pp.251-251). California
: ABC-CLIO, LLC.
8. King Salman: Iran spearheading global terror. (2017,
May 22). Arab News. Retrieved from http://www.arabnews.com/node/1103121/saudi-arabia
9. Naji, Kasra. (2008). Ahmadinejad: The Secret History
of Iran's Radical Leader. CA: University of California Press.
10. Schreck, Adam. (2017, May 22). Iran’s president
criticizes US after Trump’s sharp words. The Washington Post/AP.
Retrieved from
https://www.washingtonpost.com/world/middle_east/iranian-president-calls-us-relations-a-curvy-road/2017/05/22/f64a6b66-3ef2-11e7-b29f-f40ffced2ddb_story.html?utm_term=.7e4949670a65
11. Syria Al Qaida group ‘wants to attack US’. (2014,
January 30). Gulf News. Retrieved from
http://gulfnews.com/news/region/syria/syria-al-qaida-group-wants-to-attack-us-1.1284269
12. The White House. (2015, March 2). Remarks As Prepared
for Delivery at AIPAC Annual Meeting by National Security Advisor Susan E.
Rice. Retrieved from
http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2015/03/02/remarks-prepared-delivery-aipac-annual-meeting-national-security-advisor
13. The White House. (2015, April 2). Statement by the
President on the Framework to Prevent Iran from Obtaining a Nuclear Weapon.
Retrieved from
https://www.whitehouse.gov/the-press-office/2015/04/02/statement-president-framework-prevent-iran-obtaining-nuclear-weapon
14. The White House. (2017, May 21). President Trump’s
Speech to the Arab Islamic American Summit. Retrieved from https://www.whitehouse.gov/the-press-office/2017/05/21/president-trumps-speech-arab-islamic-american-summit
15. UN Security Council Adds Jabhat al-Nusra to Sanctions
Blacklist. (2013, May 31). SANA. Retrieved from http://sana.sy/eng/22/2013/05/31/485111.htm
16. Yetkin, Murat. (2014, October 7). Turkey, ISIL and the
PKK: It’s complicated. Daily News. Retrieved from http://www.hurriyetdailynews.com/turkey-isil-and-the-pkk-its-complicated.aspx?pageID=449&nID=72628&NewsCatID=409
-----------------------------