ทรัมป์โจมตีอัสซาด แม้ปราศจากหลักฐานใช้อาวุธเคมี
4 เมษายน เกิดเหตุใช้ก๊าซพิษในซีเรีย ที่เมือง Idlib ทางตอนเหนือของซีเรีย เขตควบคุมของฝ่ายต่อต้าน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กเกือบ 30 ราย สื่อ The Guardian อ้างข้อมูลจากผู้เห็นเหตุการณ์ว่าก๊าซพิษเกิดขึ้นหลังเครื่องบินรบบินผ่าน รัฐบาลสหรัฐโทษว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลอัสซาด ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า “เมื่อวันอังคาร (4) ผู้นำเผด็จการ บาชาร์ อัลอัสซาด (Bashar al-Assad) โจมตีพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างโหดร้ายด้วยอาวุธเคมี เป็นสารทำลายประสาท”
คืน 6 เมษายน (ตามเวลาสหรัฐหรือเช้าวันที่ 7
ของซีเรีย) จรวดร่อน (cruise missiles) เกือบ 60 ลูกโจมตีฐานทัพอากาศ
Shayrat ในจังหวัด Homs ที่ฝ่ายสหรัฐเชื่อว่าเครื่องบินที่ปล่อยอาวุธเคมีบินขึ้นจากฐานบินนี้
ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าเหตุที่ทำเช่นนี้ก็เพราะเป็นผลประโยชน์ยิ่งยวดแห่งชาติ
(vital national security interest) พร้อมกับเรียกร้องให้ชาติอารยะทั้งหลายร่วมมือกับสหรัฐหยุดการสังหารและหลั่งเลือดในซีเรีย
รวมทั้งการก่อการร้ายทุกประเภท
คำชี้แจงของรัฐบาลซีเรียบกับรัสเซียตรงกัน
คือชี้ว่าต้นเหตุเกิดจากเครื่องบินรบซีเรียโจมตีคลังอาวุธขนาดใหญ่ของผู้ก่อการร้าย
คลังดังกล่าวเก็บสะสมสารพิษ เป็นที่ผลิตหัวรบบรรจุสารพิษ
วาลิด อัลเมาเล็ม (Walid
al-Moallem) รองนายกฯ
และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศซีเรียยืนยันว่ากองทัพไม่ได้ใช้อาวุธเคมีและไม่เคยใช้ไม่ว่าต่อผู้ก่อการร้ายหรือประชาชน
ให้รายละเอียดว่าการใช้อาวุธเคมีเกิดขึ้นเมื่อ 6.00 น. แต่เครื่องบินรบเริ่มปฏิบัติครั้งแรกของวันเมื่อ
11.30 น.เพื่อทำลายคลังเก็บอาวุธของกลุ่มก่อการร้าย Jabhat al-Nusra อาคารดังกล่าวเก็บอาวุธเคมีด้วย ทั้งยังอธิบายว่าหากเป็นการโจมตีทางอากาศสารพิษจะแพร่กระจายกว่า
1 กิโลเมตร ไม่อยู่ในขอบเขตแคบๆ อย่างที่เกิดขึ้น
ด้านนายกฯ เทเรซา เมย์ (Theresa May) เรียกร้องให้องค์การห้ามอาวุธเคมี
(Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons) เข้าตรวจสอบ
ย้อนรอยสมัยโอบามา ข้อแตกต่างของทรัมป์
:
การใช้อาวุธเคมีในซีเรียเป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นนับสิบครั้งแล้ว
บางครั้งโทษรัฐบาลอัสซาด บางครั้งโทษฝ่ายต่อต้าน ผู้ก่อการร้าย ครั้งร้ายแรงที่สุดเกิดเมื่อสิงหาคม
2013 แถบชานกรุงดามัสกัส มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 ราย ครั้งนั้นรัฐบาลโอบามาอ้างหลักฐานจากดาวเทียม
แสดงให้เห็นว่าจรวดปล่อยจากพื้นที่ฝั่งของรัฐบาลเป็นเวลา 90
นาทีก่อนเริ่มมีรายงานการโจมตีด้วยอาวุธเคมี ภาพจากวีดีโอกว่า 100
รายการแสดงให้เห็นว่าผู้เคราะห์ร้ายได้รับอาวุธเคมีชนิดส่งผลต่อระบบประสาท
สหรัฐสามารถดักฟังการสนทนาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงซีเรียที่พูดว่า
“ยืนยันว่าได้ปล่อยอาวุธเคมีแล้ว แต่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ต่อสาธารณะ
ด้วยเหตุนี้ประธานาธิบดี
วลาดิมีร์ ปูติน จึงท้าทายให้สหรัฐนำหลักฐานดังกล่าวมาพิสูจน์ในสหประชาชาติ
พร้อมกับกล่าวว่า “ถ้ามีหลักฐานก็ควรแสดงออกมา ถ้าไม่แสดงเท่ากับว่าไม่มีหลักฐานจริง”
ขณะนั้นเกิดกระแสให้สหรัฐโจมตีซีเรีย
แต่ทั้งๆ ที่อ้างว่ามีหลักฐาน ประธานาธิบดีมีอำนาจสั่งโจมตีโดยชอบ
แต่โอบามากลับโยนเรื่องให้รัฐสภาเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรโจมตีหรือไม่ ให้เหตุผลว่าต้องการทำเป็นตัวอย่างในฐานะประเทศที่มีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเก่าแก่ที่สุดในโลก
เป็นการ “ขออนุญาตใช้กำลังจากตัวแทนของชาวอเมริกันในรัฐสภา” สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป
สิ่งทื่ทรัมป์แตกต่างจากโอบามาคือ
ทรัมป์สั่งโจมตีทันทีใน 2 วันถัดไป
เรื่องร้ายแรงสุดคือประธานาธิบดีทรัมป์สั่งโจมตีทั้งๆ
ที่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นฝีมือใคร (ทรัมป์กล่าวโทษรัฐบาลซีเรียแต่ไม่แสดงหลักฐาน)
กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ เพียงรัฐบาลทรัมป์ว่าคิดเป็นเช่นนั้นจริงก็จะลงมือทันที
โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง คำคัดค้านจากประเทศอื่นๆ
เมื่อรัฐบาลทรัมป์เลือกโจมตีทันที
ผลตามมาคือนับจากนี้รัฐบาลทรัมป์จะต้องยืนกระต่ายขาเดียวอ้างไปเรื่อยๆ
ว่ากองทัพอัสซาดคือผู้ใช้อาวุธเคมี
ทำไมทรัมป์โจมตีอัสซาด :
ทำไมทรัมป์โจมตีอัสซาด :
คำตอบว่าทำไมทรัมป์จึงโจมตีอัสซาด
สามารถตอบใน 2 แนว คือ แนวพื้นฐานกับแนวซับซ้อน ถ้าตอบในแนวพื้นฐาน
เป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการบิดกระแสสื่อ จากระยะนี้ที่ถูกวิพากษ์เรื่องความสัมพันธ์กับรัสเซียก่อนเลือกตั้ง
นโยบายเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน ข่าวแง่ลบทั้งหลายทำให้คะแนนนิยมลดลงเรื่อยๆ จนถึงมีกระแสคิดถอดถอน
(impeachment) ประธานาธิบดี
เหตุผลรองมาคือ
เพื่อตอบสนองความต้องการของขั้วซาอุฯ ดังที่ทรัมป์พูดว่าเขารับมรดกจากรัฐบาลโอบามา
คำพูดนี้สามารถโยงย้อนหลังว่าขั้วซาอุฯ หวังให้สหรัฐส่งทหารเข้ารบภาคพื้นดินล้มระบอบอัสซาด
แต่โอบามาไม่ยอม กลายเป็นความระหองระแหงในสมัยนั้น มาถึงรัฐบาลปัจจุบัน Mohammed
bin Salman รองมกุฎราชกุมารซาอุดิอาระเบียเพิ่งเยือนทำเนียบขาวหารือทรัมป์เมื่อกลางเดือนมีนาคม
2 ฝ่ายสัมพันธ์ชื่นมื่น เจ้าชายถึงกับเอ่ยว่าทรัมป์เป็น “มิตรแท้ของมุสลิม”
(true friend of Muslims) การโจมตีอัสซาดอาจเป็นการเอาใจขั้วซาอุฯ
รัฐบาลซาอุฯ มีแถลงการณ์สนับสนุนการโจมตีเต็มที่
อีกเหตุผลที่เป็นไปได้คือพยายามแสดงความเป็นมหาอำนาจในยามที่สหรัฐกำลังถดถอย
นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าคือการเตือนจีน เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกำลังเยือนสหรัฐ
ประธานาธิบดีทรัมป์อาจต้องการแสดงให้เห็นว่าตนทำอะไรได้บ้าง
นโยบายใหม่ต่อซีเรีย :
การโจมตีฐานทัพอากาศเป็นนโยบายใหม่ที่แตกต่างจากแนวนโยบายของรัฐบาลโอบามา
และแตกต่างจากช่วงหาเสียงของทรัมป์ด้วย
ในช่วงหาเสียงทรัมป์ใช้ประเด็นซีเรียโจมตีรัฐบาลโอบามา เห็นว่าโอบามาผิดพลาดที่มุ่งกำจัดรัฐบาลอัสซาด
ความจริงแล้วภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่าคือผู้ก่อการร้าย IS/ISIL/ISIS ไม่ใช่ระบอบอัสซาด
ความคิดของเดิมทรัมป์คือแม้อัสซาดจะเป็นเผด็จการแต่ยังดีกว่า
IS พูดเปรียบเปรยว่าโลกจะน่าอยู่ขึ้นหากซัดดัม
ฮุสเซนกับกัดดาฟียังมีชีวิตอยู่ เพราะภูมิภาคมีเสถียรภาพ ลดผู้ก่อการร้าย
แต่เดิมประเทศอย่างลิเบีย อิรักไม่ใช่ถิ่นของผู้ก่อการร้าย
ถ้าซัดดัมอยู่ผู้ก่อการร้ายในอิรักจะถูกกำจัดทันที “ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าเขา
(ซัดดัม) เป็นคนดี เขาเป็นคนโหดร้าย
แต่ก็ยังดีกว่าที่อิรักตอนนี้กลายเป็นศูนย์ฝึกผู้ก่อการร้าย”
ถ้ายึดตามแนวทางขณะหาเสียง
คือ ยอมรับการคงอยู่ของระบอบอัสซาด
(โอบามาต้องการให้อัสซาดลงจากอำนาจ) ไม่แตะต้องกองทัพอัสซาด
จะทำอะไรมากกว่าเพียงการโจมตีสนามบินหรือไม่
การโจมตีซีเรียรอบนี้เป็นปฏิบัติการจำกัด
เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐได้แจ้งรัสเซียล่วงหน้าแล้วว่าเป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียว และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมระบบป้องกันขีปนาวุธพื้นสู่อากาศของรัสเซียไม่สกัดขีปนาวุธสหรัฐ
แต่อีกหลายเดือนจากนี้รัฐบาลทรัมป์จะทำอะไรมากกว่านี้หรือไม่
จะอ้างการใช้อาวุธเคมีเพื่อความชอบธรรมในการอื่นๆ หรือไม่ เช่น
ส่งกองทัพภาคพื้นดินเข้าล้มระบอบอัสซาด จัดตั้งเขตปลอดภัยแบ่งแยกดินแดนถาวร
(เมื่อไม่นานนี้ได้ส่งทหารราบ นาวิกโยธินพร้อมอาวุธหนักเข้าร่วมทางภาคพื้นดินนับพันนายแล้ว)
การแสดงออกของชาวอเมริกันต่อการโจมตีมีผลต่อการตัดสินใจทำการอื่นๆ ในอนาคต
อาจโจมตีเกาหลีเหนือ อิหร่านด้วยหลักการเดียวกัน
:
เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ใช้บรรทัดฐานใหม่
คือ ไม่รอพิสูจน์ว่ารัฐบาลอัสซาดใช้อาวุธเคมีจริงหรือไม่ หรือใช้วิธีสรุปเอาเอง เมื่อวิเคราะห์แนวทางนี้กับประเทศปรปักษ์อื่นๆ
โดยเฉพาะเกาหลีเหนือกับอิหร่าน สหรัฐมีเหตุผลที่จะโจมตีและมีความสมเหตุสมผลมากกว่า
ยกตัวอย่าง โจมตีเกาหลีเหนือหากทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกล ทดลองจุดติดระเบิดนิวเคลียร์
โจมตีอิหร่านโทษฐานสนับสนุนผู้ก่อการร้าย มีกองกำลังในซีเรีย ทดสอบขีปนาวุธ
นั่นหมายความว่า
การโจมตีซีเรียครั้งนี้อาจเป็นแผนขั้นตอนหนึ่งของแผนที่ใหญ่กว่า เช่น
จัดการอิหร่าน เกาหลีเหนือ จากหลักฐานที่ปรากฏมีความเป็นได้ เช่น การห้ามคน 6
สัญชาติเข้าประเทศ ขั้วซาอุฯ หวังรัฐบาลสหรัฐเร่งจัดการอิหร่าน รัฐบาลทรัมป์เตือนว่าอาจลงมือจัดการเกาหลีเหนือด้วยตัวเอง
การจัดการอิหร่าน เกาหลีเหนือ อาจไม่ถึงขั้นส่งกองทัพเข้าล้มรัฐบาล
แต่จะใช้วิธีคล้ายกับที่จัดการซีเรียในขณะนี้ นั่นคือยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพต่างๆ
แหล่งทดลองนิวเคลียร์ ฐานปล่อยจรวด เป็นอีกขั้นตอนของหลายขั้นตอน
นักวิชาการบางคนสนับสนุนแนวทางของทรัมป์
เห็นว่าการโจมตีซีเรียคือการเตือนประเทศอื่นๆ ที่คิดใช้อาวุธเคมี จุดอ่อนของแนวคิดนี้คือในอนาคตรัฐบาลทรัมป์อาจโจมตีประเทศใดๆ
โดยใช้ข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ต้องมีหลักฐานข้อเท็จจริงประกอบ
ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างศาสนาอย่างสวยหรูว่า
“เราร้องขอสติปัญญาจากพระเจ้าเมื่อเผชิญปัญหาโลกทุกเรื่อง”
“เราอธิษฐานเพื่อชีวิตของผู้บาดเจ็บและวิญญาณของพวกเขาที่ต้องจากร่างกาย
และเราหวังว่าตราบใดที่อเมริกายึดมั่นความยุติธรรม
เมื่อนั้นสันติภาพกับความสมานฉันท์จะปรากฏ”
ถามว่าการตัดสินโจมตีครั้งนี้ผ่านการวิเคราะห์พิจารณาอย่างยุติธรรมแล้วหรือไม่
รัฐบาลทรัมป์พยายามอ้างเหตุผลสารพัดให้ฟังดูดี
ชี้ให้เห็นว่าผู้เสียชีวิตต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงไร เด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ที่น่าสงสาร
แต่ต้องไม่ลืมว่าการโจมตีซีเรียดังกล่าวละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ
การใช้กำลังจะถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อใช้เพื่อป้องกันตนเองตามมาตรา 51
ของกฎบัตรสหประชาชาติ และ/หรือ คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องให้การรับรองใช้กำลังดังกล่าว
เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐแสดงตัวใหญ่กว่าสหประชาชาติ
ใช้อำนาจเหนือกฎบัตร ประเทศอารยะเขาทำกันเช่นนี้หรือ ประเทศใดจะเป็นเหยื่อรายต่อไป
9 เมษายน 2016
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 21 ฉบับที่ 7457 วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ.2560)
--------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
รัฐบาลโอบามาใช้หลักฐานการโจมตีด้วยอาวุธเคมีเพียงครั้งเดียวกับอ้างหลักการว่าทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อโจมตีซีเรีย
โดยละทิ้งกระบวนการของสหประชาชาติ กฎเกณฑ์ ระบบความมั่นคงของโลก
บรรณานุกรม:
1. Al-Moallem: Syrian Army didn’t and will not use chemical
weapons even against terrorists. (2017, April 6). SANA.
Retrieved from http://sana.sy/en/?p=103704
2. Chulov, Martin., Shaheen, Kareem.
(2017, April 5). Syria chemical weapons attack toll rises to 70 as Russian
narrative dismissed. The Guardian. Retrieved from
https://www.theguardian.com/world/2017/apr/04/syria-chemical-attack-idlib-province
3. Convergence on Iran, visa ban during Mohammed bin
Salman-Trump meeting. (2017, March 15). Al Arabiya. Retrieved from
http://english.alarabiya.net/en/perspective/features/2017/03/15/Convergence-on-Iran-visa-ban-during-Mohammed-bin-Salman-Trump-meeting.html
4. Diamond, Jeremy. (2015, October 25). Trump: World would
be '100%' better with Hussein, Gadhafi in power. CNN. Retrieved from http://edition.cnn.com/2015/10/25/politics/donald-trump-moammar-gadhafi-saddam-hussein/
5. Lamothe, Dan., Ryan, Missy., Gibbons-Neff, Thomas. (2017, April 6). U.S. strikes Syrian military airfield in
first direct assault on Bashar al-Assad’s government. The Washington Post.
Retrieved from
https://www.washingtonpost.com/world/national-security/trump-weighing-military-options-following-chemical-weapons-attack-in-syria/2017/04/06/0c59603a-1ae8-11e7-9887-1a5314b56a08_story.html
6. Obama to ask Congress to approve strike on Syria. (2013,
August 31). Market Watch. Retrieved from http://www.marketwatch.com/story/obama-to-ask-congress-to-approve-strike-on-syria-2013-08-31
7. Olorunnipa, Toluse., Shi, Ting., Talev, Margaret. (2017, April 6). Trump's Syria Strike Sends Not-So-Subtle
Warning to U.S. Rivals. Bloomberg. Retrieved from https://www.bloomberg.com/politics/articles/2017-04-07/trump-s-syria-strike-sends-not-so-subtle-warning-to-u-s-rivals
8. Russian Foreign Ministry: Donald Trump has very hard
times. (2017, April 7). Pravda. Retrieved from http://www.pravdareport.com/news/russia/kremlin/07-04-2017/137409-russian_foreign_ministry_zakharova-0/
9. Russia's Vladimir Putin challenges US on Syria claims.
(2013, August 31). BBC. Retrieved from http://www.bbc.co.uk/news/world-middle-east-23911833
10. The White House. (2013, August 21). “Government
Assessment of the Syrian Government’s Use of Chemical Weapons on August 21,
2013”. Retrieved from http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2013/08/30/government-assessment-syrian-government-s-use-chemical-weapons-august-21
11. Trump details ‘America first’ foreign policy views,
threatening to withdraw troops from Japan, South Korea. (2016, March 27). The
Japan Times. Retrieved from
http://www.japantimes.co.jp/news/2016/03/27/world/politics-diplomacy-world/trump-details-america-first-foreign-policy-views-threatening-withdraw-troops-japan-south-korea/#.Vvh-wtJ97IV
12. Trump strikes Syria after ‘chemical’ attack. (2017, April 7). U.S. strikes Syrian military airfield in
first direct assault on Bashar al-Assad’s government. Arab News.
Retrieved from http://www.arabnews.com/node/1080481/middle-east
13. Trump ‘true friend of Muslims,’ Saudi prince says after
meeting. (2017, March 15). RT. Retrieved from https://www.rt.com/news/380822-trump-saudi-muslim-friend/
14. US' Airstrike in Syria: Trump 'Needs a Swift Victory to Resolve' Domestic Issues.
(2017, April 7). Sputnik News. Retrieved from https://sputniknews.com/politics/201704071052404806-airstrike-trump-domestic-issues/
15. U.S. warns U.N. over failure to act in Syria. (2017, April 6). The Japan News. Retrieved from http://the-japan-news.com/news/article/0003624183
16. Why Russia and Syria took no retaliatory measures to US
missile attacks. (2017, April 7). Pravda. Retrieved from http://www.pravdareport.com/news/hotspots/conflicts/07-04-2017/137407-russia_syria_attack-0/
-----------------------------