ไช่อิงเหวินดิ้นรนเพื่อ International legal sovereignty
ไช่อิงเหวิน (Tsai Ing-wen) ประธานาธิบดีไต้หวันกล่าวว่าจะแวะพักสหรัฐก่อนเดินทางต่อไปยังประเทศในอเมริกากลาง พยายามชี้ว่าเป็นการแวะพักระหว่างทางเท่านั้น ไม่มีความหมายเป็นอื่น ฝ่ายทางการจีนเรียกร้องให้สหรัฐปฏิเสธการแวะพักดังกล่าว เพราะอาจทำให้จีนเข้าใจผิด
บรรณานุกรม:
ประธานาธิบดีไช่มีกำหนดเยือนหลายประเทศในแถบอเมริกากลางระหว่างวันที่ 7-15
มกราคม
ประวัติสงครามการทูตจีน-ไต้หวัน :
แต่เดิมรัฐบาลสหรัฐสนับสนุนกลุ่มชาตินิยมเจียงไคเช็ค
(Chiang Kai-shek) ปัจจัยสำคัญมาจากกลุ่มล็อบบี้รัฐบาลอเมริกันกับเหตุญี่ปุ่นรุกรานจีนเมื่อปี
1937
กลุ่มล็อบลี้มีหลายกลุ่ม บางกลุ่มเกี่ยวข้องรัฐบาลจีน (ฝ่ายชาตินิยม)
บางกลุ่มทำงานอิสระ บางกลุ่มเป็นชาวจีน บางกลุ่มเป็นชาวอเมริกัน ผลจากการล็อบบี้สามารถผลักดันให้สหรัฐระงับส่งสินค้าแก่ญี่ปุ่น
โดยเฉพาะสินค้ากับวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับยุทโธปกรณ์
เมื่อสหรัฐเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2
กลุ่มเพิ่มภารกิจระดมทุนต่างประเทศเพื่อช่วยจีนชาตินิยมต้านญี่ปุ่น
เกิดเครือข่ายนักธุรกิจที่ตั้งใจช่วยจีน พัฒนาเป็นกลุ่มใหม่ชื่อว่า American
Bureau for Medical Aid to China (ABMAC) เน้นชี้ให้เห็นความทุกข์ยากที่เกิดกับชาวจีน
สนับสนุนเจียงไคเช็ค หวังให้จีนไม่อยู่ใต้อำนาจญี่ปุ่น เป็นชาติประชาธิปไตย
ค.ศ.1943
พวกคอมมิวนิสต์จีนเติบใหญ่ขึ้นมา พวกชาตินิยมขัดแย้งกับคอมมิวนิสต์จีนอย่างหนัก กองทัพเจียงหันไปรบกับพวกคอมมิวนิสต์แทนที่จะทุ่มเทรบกับญี่ปุ่น
ข่าวแง่ลบเกี่ยวกับนายพลเจียง การทุจริตในหมู่กองทัพชาตินิยมหนาหูขึ้นทุกวัน
นักการเมืองอเมริกันบางคนเห็นว่าควรสนับสนุนพวกคอมมิวนิสต์ที่เอาจริงเอาจังรบกับพวกญี่ปุ่น
เพราะในช่วงนั้นสหรัฐให้ความสำคัญกับการต้านญี่ปุ่นมากกว่า
การที่รัฐบาลสหรัฐจะสนับสนุนจีนฝ่ายไหนจึงเป็นประเด็นเรื่อยมา
ค.ศ.1949
เมื่อสถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เกิดคำถามว่าฝ่ายไหนคือประเทศจีนที่ชอบธรรม ในระยะแรกรัฐบาลสหรัฐสนับสนุนสาธารณรัฐจีน
(ไต้หวัน) แต่หลังจากประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) เยือนจีนเมื่อ 1972 สหรัฐเริ่มหันมาเอาใจจีนมากขึ้น จากนั้นรัฐบาลสมัยประธานาธิบดีจิมมี
คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) ประกาศว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนคือ
“รัฐบาลจีนหนึ่งเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมาย” ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันในปี
1979
เมื่อจีนเดินหน้านโยบายเปิดประเทศต้อนรับการลงทุนต่างชาติ
ประเทศพัฒนาในทุกด้าน นานาประเทศหันมาผูกสัมพันธ์กับจีน ล่าสุดเหลือ 21
ประเทศที่ยังมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน
ส่วนใหญ่เป็นประเทศเล็กๆ ในแถบละตินอเมริกากับอเมริกาใต้
เพื่อผลประโยชน์แบบยื่นหมูยื่นแมว
เห็นชัดว่าไต้หวันได้สูญเสียอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศแก่จีน
หลักอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศ :
อธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศ
(International legal sovereignty) หมายถึงการยอมรับ
การมีตัวตนในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีความสัมพันธ์การทูตอย่างเป็นทางการ
เช่น ไต้หวันมี Westphalian sovereignty
แต่ขาดอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศ นานาประเทศส่วนใหญ่ไม่ยอมรับความเป็นรัฐอธิปไตยไต้หวัน
ความเป็นไปของอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศจะขึ้นกับนโยบาย
การตัดสินใจของผู้ปกครองต่างชาติเป็นหลัก เช่น รัฐบาลสหรัฐครั้งหนึ่งตัดสินใจยอมรับรัฐบาลไต้หวัน
ในเวลาต่อมาหันไปยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน
การยอมรับอธิปไตยจึงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เป็นเรื่องที่เปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่
นโยบายอาจเปลี่ยนตาม ในบางเรื่องมีกฎหมายระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศเข้าเกี่ยวข้อง
แต่ละเมิดได้ถ้าต้องการจริงๆ
อธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศกับเอกราช
:
แต่ไหนแต่ไร
ภายใต้หลักจีนเดียว สังคมไต้หวันถกเถียงว่าควรประกาศเอกราชหรือไม่
เรื่องที่ควรตระหนักคือ ตามหลักอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศ การประเทศเอกราชไม่เป็นเหตุให้นานาชาติยอมรับความเป็นเอกราชของไต้หวัน
ไม่เป็นเหตุให้ไต้หวันเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ความมีตัวตนของไต้หวันในปัจจุบันขึ้นกับอิทธิพลของสหรัฐกับจีนเป็นหลัก
ในมุมข้อเสีย
การประกาศเอกราชจะยิ่งเพิ่มความชอบธรรมให้จีนใช้กำลังกับไต้หวัน เป็นการบังคับให้จีนเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรกดดันไต้หวัน
ดังนั้น แม้ประกาศเอกราชแต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับ แม้ไม่ถูกรุกรานด้วยกำลังทหาร
แต่ต้องทนมาตรการคว่ำบาตรจากจีน รวมความแล้วมีผลเสียมากกว่า
ข้อสรุปบรรทัดสุดท้ายคือ
รัฐบาลไต้หวันจะไม่ประกาศเอกราช ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลภายใต้พรรคชาตินิยม (Kuomintang:
KMT) หรือ Democratic Progressive Party’s (DPP) ในขณะนี้
มีแต่ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐกับรัฐบาลไต้หวันที่กล้าแหย่จีนเรื่องหลักจีนเดียว
(one-China policy) เป็นครั้งคราว เช่น ช่วงหาเสียงในไต้หวัน
ช่วงเยือนมิตรประเทศ
การได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐอธิปไตยมีความสำคัญยิ่งในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมโยง
เป็นโอกาสของการพัฒนาประเทศในทุกด้าน การขาดอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศลดหรือปิดกั้นโอกาสสัมพันธ์กับนานาประเทศอย่างที่ควรมี
นักลงทุนต่างชาติต้องคิดทบทวนอีกครั้งก่อนลงทุนในรัฐที่ประเทศส่วนใหญ่ไม่ยอมรับความเป็นรัฐ
นี่คือความสูญเสียของไต้หวันเพราะขาดอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศ
การปะทะเล็กๆ
สมรภูมิการทูตระหว่างจีนกับไต้หวัน :
นับจากทศวรรษ
1970 จนบัดนี้ รัฐบาลจีนพยายามกดดันนานาชาติไม่ให้มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ
พยายามกดดันประเทศที่เหลือ 20 กว่าประเทศตัดสัมพันธ์กับไต้หวัน
ในขณะที่รัฐบาลไต้หวันเห็นว่าการรักษาประเทศที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือในด้านต่างๆ
การเยือนของผู้นำไต้หวันเป็นอีกภารกิจสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านี้
เป็นการดิ้นรนรักษาความมีตัวตนในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยรวมแล้ว
ในสมรภูมิการทูต ไต้หวันเป็นฝ่ายตั้งรับและถอยร่น แต่ยังคงพยายามต่อสู้ดิ้นรน
ขอให้ตัวเองมีบทบาทมากขึ้น
การพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีไช่กับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์
เป็นอีกกรณีตัวอย่างถึงความพยายามดังกล่าว และประธานาธิบดีไช่ประสบความสำเร็จ
ประวัติศาสตร์ไต้หวันจารึกว่าเธอเป็นผู้นำไต้หวันแรกที่สามารถคุยโทรศัพท์กับว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกา
การประกาศว่าจะแวะจอดพักบนแผ่นดินอเมริกา
เป็นอีกวิธีที่ผู้นำไต้หวันพยายามแสดงความมีตัวตน แม้จะบอกว่า
“อย่างไม่เป็นทางการ” เพื่อลดแรงกดดันจากจีน ลดแรงกดดันที่มีต่อสหรัฐ ทุกฝ่ายต่างรู้ดีว่าเป็นความพยายามของรัฐบาลไต้หวันที่จะแสดงความมีตัวตน
ประธานาธิบดีไช่ไม่ใช่ผู้นำไต้หวันคนแรกที่แวะพักสหรัฐ
แต่จะเป็นอีกคนที่สามารถทำเช่นนี้
การประกาศล่วงหน้าว่าจะแวะสหรัฐ
เท่ากับพูดเป็นนัยว่าได้เจรจากับรัฐบาลสหรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหมายถึงผ่านการเจรจากับรัฐบาลโอบามาที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่
ส่วนจะได้พบปะกับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนละเรื่องกับการแวะพัก และจะเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหากมีการพบปะกันจริง
ล่าสุด สื่อ Global
Times ของจีนรายงานเป็นนัยว่าผู้นำไต้หวันอาจพบกับนักการเมืองสหรัฐหรือทีมงานทรัมป์
บางคนอาจคิดถึงเรื่องการได้หน้าเสียหน้า
โดยเฉพาะที่รัฐบาลจีนอาจต้องเสียหน้าอีกครั้ง แต่ หากมององค์รวม พลังอำนาจของจีนกำลังเติบใหญ่ขึ้น
ไต้หวันไม่มีอะไรเทียบได้ ถ้าพิจารณาเฉพาะ 2 ประเทศ
“จีนกำลังเติบใหญ่จนไต้หวันดูเล็กลงเรื่อยๆ” นี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
การที่ประธานาธิบดีไช่ได้คุยโทรศัพท์กับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์
ได้แวะจอดพักบนแผ่นดินอเมริกา เยือนกระชับมิตรหลายประเทศที่มีความสัมพันธ์การทูตอย่างเป็นทางการ
หรือแม้กระทั่งหากผู้นำไต้หวันได้พบปะกับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ในเดือนนี้ ทั้งหมดช่วยให้เป็นข่าวได้อีกชิ้น
ได้แหย่รัฐบาลจีนอีกครั้ง แสดงจุดยืนของตนอีกรอบ ชาวไต้หวันชื่นชมผู้นำของตนอีกหน แต่ทั้งหมดไม่ช่วยให้ไต้หวันดู
“ใหญ่ขึ้น”
ต้องแยกแยะระหว่าง
“เวทีการเมืองในประเทศ” กับ “เวทีโลก”
ไต้หวันเป็นประเทศที่ถูกมหาอำนาจจีนกดดันทางการทูตอย่างหนักและต่อเนื่อง
จนเหลือพื้นที่ให้มีบทบาทในเวทีโลกเพียงน้อยนิด เสียโอกาสและประโยชน์มากมายจากภาวะไร้ความสัมพันธ์การทูต
การมีความสัมพันธ์การทูตจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ในอีกด้านหนึ่ง ไม่ว่านานาชาติจะรับรองหรือไม่
ไต้หวันยังดำรงอยู่เป็นไต้หวัน อีกทั้งเจริญก้าวหน้าพัฒนากลายเป็น NICs ควรชื่นชมว่าแม้อยู่ใต้แรงกดดันมหาศาล ไต้หวันยังไปได้ไกลถึงเพียงนี้
อธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญต่ออนาคตของชาวไต้หวันไปอีกนาน
8 มกราคม 2560
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 21 ฉบับที่ 7366 วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ.2560)
-------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
เพื่อผลประโยชน์ต่อต้านโซเวียตรัสเซียในสมัยสงครามเย็น
รัฐบาลสหรัฐจึงตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน เป็นเหตุให้ไต้หวันกลายเป็นประเทศที่นานาชาติไม่ยอมรับว่าเป็นประเทศ
ผู้นำไต้หวันทุกยุคทุกสมัยจึงพยายามดิ้นรนแสดงความเป็นตัวตน
เทคนิคที่ประธานาธิบดีไช่ทำครั้งนี้คือติดต่อพูดคุยกับว่าที่ผู้นำประธานาธิบดีสหรัฐ
กลายเป็นประเด็นให้วิพากษ์ ซึ่งแท้จริงแล้วมีความสำคัญต่อไต้หวันมากกว่านั้น
นโยบายจีนเดียว (one-China policy) ถูกอ้างว่าเป็นหนึ่งในรากฐานความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่ย้อนหลังถึงปี
1972 เมื่อ 2 รัฐบาลจับมือกันต้านสหภาพโซเวียต
เป็นความสำเร็จทางการทูตครั้งใหญ่ในยุคนั้น
ผู้นำโลกเสรีสามารถจับมือกับคอมมิวนิสต์จีน แต่บริบทโลกเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันไม่มีสหภาพโซเวียตอีกแล้ว
รัสเซียในปัจจุบันมีสัมพันธ์ใกล้ชิดจีน ส่วนสหรัฐฯ แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อจีนมากขึ้น
ชัดเจนขึ้น อะไรคือคุณค่าแท้ของนโยบายจีนเดียวในปัจจุบันและอนาคต
1. Cohen, Warren I. (2002). The China Lobby. In Encyclopedia
of American Foreign Policy (2nd Ed., Vol 1, pp.185-191). USA:
Sage Publications.
2. Colcol, Erwin. (2017, January 5). Russia open to conduct
joint military exercises with PHL, says envoy. GMA News. Retrieved from
http://www.gmanetwork.com/news/story/594683/news/nation/russia-open-to-conduct-joint-military-exercises-with-phl-says-envoy
3.Jie, Shan. (2017, January 6). Tsai aims to meet Trump team
during transit. Global Times. Retrieved from http://www.globaltimes.cn/content/1027522.shtml
4. Kazer, William. (2016, December 31). Taiwan’s Leader Says
Planned U.S. Stops on Trip Will Be Unofficial, Routine. The Wall Street
Journal. Retrieved from http://www.wsj.com/articles/taiwans-leader-says-planned-u-s-stops-on-trip-will-be-unofficial-routine-1483181381
5. Kondapalli, Srikanth. (2008). China, People’s Republic of.
In The Encyclopedia of the Cold War: A Student Encyclopedia. (pp.401-408).
USA: ABC-CLIO.
6. Krasner, Stephen D. (1999). Sovereignty: Organized
Hypocrisy. New Jersey: Princeton University Press.
-----------------------------