ความสัมพันธ์เวียดนาม-สหรัฐกับนโยบายต้านจีน
การยึดถือว่าระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามร้ายแรง ทำให้รัฐบาลสหรัฐต่อต้านคอมมิวนิสต์ และชักนำให้หลายประเทศทั่วโลกเข้าสู่ความขัดแย้งดังกล่าว รัฐบาลประเทศต่างๆ ต้องเลือกข้าง หน่วยลับของสหรัฐมีส่วนโค่นล้มรัฐบาลหลายประเทศที่เป็นมิตรกับสหภาพโซเวียต แล้วตั้งรัฐบาลใหม่ที่เป็นมิตรกับสหรัฐแทน แม้ว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นอำนาจนิยมเผด็จการหรือไม่ก็ตาม
ความเป็นปรปักษ์ดังกล่าวครอบงำความสัมพันธ์ทางการเมืองเศรษฐกิจโลก
กระทบต่อสังคมโลกอย่างกว้างขวางซึมลึกต่อเนื่องกว่า 4 ทศวรรษ
เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตหลายพันล้านคน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นในครั้งนั้นอย่างเข้มข้น
เป็นที่มาของการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนเมื่อ 1967
รัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ คือ
ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ โน้มเอียงเข้าข้างทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ
ทุกวันนี้หลายคนพยายามนำคำว่าสงครามเย็น (Cold War) กลับมาใช้อย่างผิดๆ ชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังเปิดฉากทำสงครามเย็นกับขั้วจีนอีกครั้ง
เหตุที่ไม่ควรใช้คำว่าสงครามเย็นเพราะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์การเมืองอีกแล้ว
จีนไม่ได้พยายามแผ่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ การใช้คำว่าสงครามเย็นอาจทำให้เข้าใจผิด
เกิดการแยกขั้วโดยปริยายอย่างผิดๆ เพราะเคยแยกมาก่อน
น่าสงสัยว่าทำไม่พวกตะวันตกยังคงพยายามใช้คำนี้
สัมพันธ์เวียดนาม-สหรัฐในยุคโลกาภิวัตน์
:
ถ้าย้อนหลังไปสมัยสงครามเย็น National
Security Council Report 68 (NSC-68) เมื่อปี
1950 ระบุอย่างชัดเจนว่าการที่โซเวียตครอบงำประเทศในแถบยูเรเชีย (Eurasia) ทั้งจากการบุกยึดด้วยกำลังทหาร
ใช้วิธีการเมืองหรือวิธีอื่นๆ เป็นเรื่องที่สหรัฐยอมรับไม่ได้ พร้อมกับตีตราว่าสหภาพโซเวียต
“ชั่วร้าย” (evil)
ชี้ว่ารัฐบาลโซเวียตต้องการเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งหมด ซึ่งหมายถึงการทำลายประเทศสหรัฐด้วย
จึงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงลำดับแรก
ในยุคนั้นรัฐบาลสหรัฐพยายามชี้นำว่าสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เป็นภัยร้ายต่อเสรีภาพปัจเจกบุคคล
เป็นภัยร้ายต่อทุนนิยม ทั้งนี้เพราะเป็น “ยุทธศาสตร์”
สร้างกระแสสนับสนุนจากชาวอเมริกันและประเทศอื่นๆ ด้วยการสร้าง “ความหวาดกลัว” เห็นปรปักษ์
“เป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่อยู่ร่วมกันไม่ได้” ตามมาด้วย “การแบ่งแยก”
ให้เป็นฝักฝ่าย ในทางวิชาการจึงเกิดยุค 2 ขั้ว (bipolar world)
ต่อมาในช่วงปี 1970-72 เกิดเหตุการณ์สำคัญ รัฐบาลนิกสันปรับความสัมพันธ์กับจีนต้านสหภาพโซเวียต
เป็นตัวอย่างสำคัญว่าผู้นำโลกเสรีประชาธิปไตยจับมือกับคอมมิวนิสต์จีนเพื่อต้านโซเวียต
ความสัมพันธ์เวียดนาม-สหรัฐคือตัวอย่างปัจจุบัน
ซ้ำรอยลักษณะสหรัฐจับมือกับจีนในสมัยสงครามเย็น
ดังที่ได้นำเสนอในบทความก่อนแล้วว่า ในการเยือนเวียดนามเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีบารัก โอบามากล่าวยอมรับความเป็นเวียดนามในปัจจุบัน “ข้าพเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาไม่ได้พยายามยัดเยียดรูปแบบรัฐบาลแก่เวียดนามหรือประเทศอื่นใด
เราเคารพอธิปไตยและอิสรภาพของเวียดนาม ในขณะเดียวกัน
เรายังคงพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนที่เราเชื่อว่าเป็นเรื่องสากล รวมถึงเสรีภาพการพูด
เสรีภาพของสื่อ เสรีภาพทางศาสนาและเสรีภาพในการชุมนุม”
ในอีกวาระหนึ่งกล่าวว่า
“ประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศเล็กหรือใหญ่ล้วนมีอธิปไตย อธิปไตยนี้ควรได้รับการยอมรับ
เขตแดนจะต้องไม่ถูกล่วงล้ำ ประเทศใหญ่ไม่ควรคุกคามประเทศเล็กกว่า ควรแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ”
นี่คือเรื่องที่รัฐบาลข้าพเจ้ายึดถือ
การที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ว่ารัฐบาลสหรัฐคบค้ากับเวียดนามบนฐานผลประโยชน์แห่งชาติที่ไม่เกี่ยวข้องกับความแตกต่างเรื่องระบอบการปกครองเศรษฐกิจ
ปัจจุบันจีนกับเวียดนามคล้ายคลึงกัน
คือปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม พรรคคอมมิวนิสต์คือแกนนำรัฐบาล
แต่ระบบเศรษฐกิจค่อนมาทางการค้าเสรีมากขึ้น ทั้ง 2 ประเทศมีความเป็นการค้าเสรีมากพอจนได้เป็นสมาชิกขององค์การค้าโลก
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือสหรัฐทำการค้าการลงทุนจำนวนมากกับจีน
ชาวอเมริกันซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนมากกว่าประเทศใดๆ ในโลก ข้อมูลบางชิ้นระบุว่าราวร้อยละ
40 ของสินค้าที่นำเข้าเป็นสินค้า MADE IN CHINA (ความแพร่หลายของสินค้าจีนพบเห็นได้ในหลายประเทศทั่วโลก)
จนรัฐบาลสหรัฐปวดหัวกับการขาดดุลการค้ากับจีน จีนถือครองพันธบัตรอเมริกามากกว่าประเทศใดๆ
ตัวเลขเมื่อเดือนพฤษภาคม (2016) ถือครองถึง 1.2703 ล้านล้านดอลลาร์
ประชาชน 2 ฝั่งเดินทางไปมาหาสู่โดยสะดวก
นักศึกษาจีนเดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐปีละหลายหมื่นคน ข้อมูลปี 2014-15 นักศึกษาจีนคือนักศึกษาต่างชาติที่มากที่สุดในสหรัฐ
มีมากถึง 3 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 31 ของจำนวนนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด ลองจินตนาการว่าสหรัฐได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลก
นักศึกษาต่างชาติทั่วโลกจึงเดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐ ในจำนวนนี้ทุก 10
คนเป็นชาวจีนถึง 3 คน (ราวกับว่ารัฐบาลจีนไม่หวั่นเกรงว่านักศึกษาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคต่อการปกครอง
หรือคนเหล่านั้นจะเข้าไปบ่อนทำลายอเมริกา เผยแพร่คอมมิวนิสต์)
ดังนั้น ในแง่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเดินทางไปมาหาสู่กัน สะท้อนว่าสหรัฐมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน
อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐไม่ได้อ้างเรื่องการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์จากจีนอีกแล้ว
ประเด็นขัดแย้งที่รัฐบาลสหรัฐหยิบยกมาพูดคือ เรื่องสิทธิมนุษยชน เสรีภาพพื้นฐาน แต่กลับกลายเป็นว่า ณ วันนี้ปัญหาสิทธิมนุษยชนเวียดนามไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ประธานาธิบดีโอบามาพูดอย่างชัดเจนว่า “สหรัฐอเมริกาตอบรับความพยายามของเวียดนามที่กำลังปรับปรุงระบบกฎหมาย กำลังปฏิบัติกฎหมายเพื่อประกันสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐานให้ดีกว่าเดิมตามกรอบรัฐธรรมนูญเวียดนาม 2013”
ประเด็นขัดแย้งที่รัฐบาลสหรัฐหยิบยกมาพูดคือ เรื่องสิทธิมนุษยชน เสรีภาพพื้นฐาน แต่กลับกลายเป็นว่า ณ วันนี้ปัญหาสิทธิมนุษยชนเวียดนามไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ประธานาธิบดีโอบามาพูดอย่างชัดเจนว่า “สหรัฐอเมริกาตอบรับความพยายามของเวียดนามที่กำลังปรับปรุงระบบกฎหมาย กำลังปฏิบัติกฎหมายเพื่อประกันสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐานให้ดีกว่าเดิมตามกรอบรัฐธรรมนูญเวียดนาม 2013”
และย้อนกลับมาพูดถึงประเทศตัวเองว่า “ไม่มีประเทศใดสมบูรณ์
2 ศตวรรษแล้วที่สหรัฐอเมริกายังคงพยายามปฏิบัติให้บรรลุอุดมคติของผู้ก่อตั้งประเทศ
เรายังคงแก้ปัญหาจากไม่ความสมบูรณ์ เช่น มีเงินมากไปในการเมืองของเรา
ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่ถ่างกว้าง ระบบยุติธรรมด้านอาชญากรรมที่มีอคติต่อเชื้อชาติ
ผู้หญิงยังคงได้เงินเดือนต่ำกว่าผู้ชายในงานเดียวกัน เรายังมีปัญหาอื่นๆ ...
ข้าพเจ้าได้ยินเรื่องเหล่านี้ทุกวัน แต่การเผชิญหน้าความไม่สมบูรณ์ เปิดให้อภิปราย
ให้ทุกคนได้พูดได้ช่วยให้เราเติบโตแข็งแกร่ง มั่งคั่งและยุติธรรมมากขึ้น”
เรื่องที่น่าแปลกใจคือเมื่อเทียบกับจีนแล้ว
จีนเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกันแต่ดูเหมือนว่ายังมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับสหรัฐ
จนรัฐบาลจีนต้องพยายามเจรจาเพื่อวางกรอบความสัมพันธ์รูปแบบใหม่กับสหรัฐ ให้เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน
รวมทั้งระบอบการเมืองและวิถีการพัฒนาประเทศ
และแม้ว่ารัฐบาลโอบามาจะเอ่ยปากตอบรับหากจีนก้าวขึ้นมาอย่างสันติ
แต่จากความจริงที่ปรากฏดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นสักเท่าใด แม้กระทั่งเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเวียดนาม
นักวิชาการหลายคนสรุปเหตุผลว่าเพื่อร่วมกันต้านจีน
ถ้าจะมองให้กว้างขึ้น
หลายประเทศในโลกนี้ยังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์
ใช้หลักศาสนาที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน แต่รัฐบาลของประเทศเหล่านี้หลายประเทศเป็นพันธมิตรของสหรัฐ
มีความสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งกว่าเวียดนาม
ข้อสรุปสำคัญคือ การที่รัฐบาลสหรัฐถือว่าจีนเป็นปรปักษ์ในปัจจุบันจึงไม่ขึ้นกับความแตกต่างทางอุดมการณ์การเมือง
(เว้นแต่จะใช้เป็นข้ออ้าง)
ความพยายามดึงเวียดนามต้านจีน
:
หนึ่งในประเด็นความสัมพันธ์สำคัญระหว่างเวียดนาม-สหรัฐคือความร่วมมือต้านจีน
เป็นที่รู้กันว่าในหมู่ชาติสมาชิกอาเซียน เวียดนามเป็น 1 ใน 2 ประเทศที่ขัดแย้งกับจีนเรื่องทะเลจีนใต้อย่างเปิดเผย
ในแง่สหรัฐ ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แอช
คาร์เตอร์ (Ash Carter) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐชี้ว่าสถานการณ์ในเอเชียแปซิฟิกคือหนึ่งในประเด็นความมั่นคงที่สำคัญที่สุด
สหรัฐจะให้ความสำคัญและเพิ่มบทบาทของตนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
กระชับสัมพันธ์กับมิตรประเทศ
จีนพยายามอ้างความเป็นเจ้าของพื้นที่น่านน้ำมากเกินควร ก่อสร้างสนามบิน ส่งเรือรบเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน
สหรัฐเพียงต้องการรักษาการเดินเรือเดินอากาศเสรีเพื่อผลประโยชน์ของทุกประเทศ
ถ้ามองจากมุมสหรัฐที่เปิดเผยต่อสารณชน ลำพังเพียงประเด็นนี้สามารถเผชิญหน้าโดยตรงกับจีน
แต่รัฐบาลสหรัฐยังพยายามดึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเข้ามาเป็นพวก
พร้อมกับที่ประเทศเหล่านี้หวังความช่วยเหลือจากสหรัฐด้วย
ผลลัพธ์ทีเกิดขึ้นคือการเผชิญหน้าทางทหาร
การทูตระหว่างสหรัฐกับจีน และคาดว่าจะเกิดความตึงเครียดต่อเนื่องยาวนานหลายปี และน่าจะยาวนานหลายทศวรรษ
ดังเช่นสงครามเย็นที่กินเวลากว่า 4 ทศวรรษ
แต่โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งจนบานปลายยังน้อยอยู่
เพราะประเทศในภูมิภาคระวังตัวอย่างดี และด้วยเหตุผลที่ว่าเวียดนามหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่ร่วมกับจีนกับสหรัฐ
คำถามจึงอยู่ที่ว่าประเทศอย่างเวียดนามจะอยู่ร่วมกับมหาอำนาจอย่างไร เป็นไปได้ว่ารัฐบาลเวียดนามต้องการแสดงอาการ
“ขัดแย้งกับจีน” ในระดับหนึ่ง เพื่อดึงสหรัฐเข้ามาใกล้
นำสู่การปรองดองฟื้นฟูความสัมพันธ์ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการนี้
เป็นความตั้งใจของเวียดนามที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับทั้ง 2 มหาอำนาจ
ถ่วงดุลมหาอำนาจในประเด็นขัดแย้ง
จึงไม่ง่ายนักที่รัฐบาลสหรัฐจะฉวยประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้
ความเข้าใจที่สำคัญอีกประการคือ ด้วยความที่สหรัฐเป็นประชาธิปไตย
การดำเนินนโยบายของรัฐบาลจะต้องได้การสนับสนุนจากประชาชนหรืออย่างน้อยไม่ต่อต้านรุนแรง
รัฐบาลสหรัฐจึงต้องพยายามสร้างกระแสสังคมด้วยวิธีต่างๆ นานา และในยุคนี้จะต้องปลุกกระแสระดับโลกด้วย
ลดแรงต่อต้านจากสังคมนานาชาติ อันจะส่งผลกระทบต่อภายในประเทศอีกที
(กรณีสงครามโค่นล้มระบอบซัดดัม ฮุสเซนเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่คนยุโรปต่อต้าน)
เป็นเรื่องของการต่อสู้เชิงข้อมูลข่าวสาร จิตวิทยา
การให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแก่สังคมจึงเป็นมาตรการสำคัญ การทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อทำลายล้างใคร
เป็นเพียงการปกป้องสังคมแผ่นดินของตนเอง
เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมอุดมปัญญา
5 มิถุนายน 2016
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 7150 วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2559)
------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ในสมัยสงครามเย็น นักวิชาการ
ตำราจำนวนมากสอนว่าประเทศเสรีประชาธิปไตยเข้ากับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ไม่ได้
มองคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามร้ายแรง
แต่ปัจจุบันความแตกต่างด้านระบอบเศรษฐกิจการปกครองดูจะไม่เป็นปัญหาร้ายแรงดังเช่นอดีต
ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนาม-สหรัฐในขณะนี้คือหลักฐาน การยึดถือว่าใครประเทศใดเป็นมิตรหรือศัตรูต่างหากที่เป็นสร้างความตึงเครียด
สร้างสงครามทำลายล้างกัน
บรรณานุกรม:
1. China's holdings of U.S. Treasuries rise for third month.
(2015, July 17). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/2015-07/17/c_134419649.htm
2. China marks six priorities for new-type of major-country
relations with US. (2014, November 12).
Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2014-11/12/c_133785087.htm
3. Ferdinando, Lisa. (2016, May 27). Naval Academy Graduates
to Face Evolving Global Challenges, Carter Says. DoD News. Retrieved
from
http://www.defense.gov/News-Article-View/Article/783990/naval-academy-graduates-to-face-evolving-global-challenges-carter-says
4. Institute of International Education. (2016).
International Students in the United States. Retrieved from
http://www.iie.org/Services/Project-Atlas/United-States/International-Students-In-US#.V0_Qhnlq3IU
5. Leffler, Melvyn P., Westad, Odd Arne (Eds.). (2010). The Cambridge History of
the Cold War: Crises and Détente (Volume 2). New York: Cambridge University
Press.
6. Roberts,
Geoffrey. (1999). The Soviet Union in World Politics: Coexistence,
Revolution and Cold War, 1945-1991. London: Routledge.
7. Samuels, Richard J. (Ed.). (2006). NSC-68 (NATIONAL
SECURITY REPORT). In Encyclopedia Of United States National Security.
(pp.531-532). California: Sage Publications.
8. Shirk, Susan L. (2007). China: Fragile Superpower: How
China's Internal Politics Could Derail Its Peaceful Rise. New York: Oxford
University Press.
9. The White House. (2016, May 23). Joint Statement: Between
the United States of America and the Socialist Republic of Vietnam. Retrieved
from https://www.whitehouse.gov/the-press-office/2016/05/23/joint-statement-between-united-states-america-and-socialist-republic
10. The White House. (2016, May 23). Remarks by President
Obama and President Quang of Vietnam in Joint Press Conference. Retrieved from https://www.whitehouse.gov/the-press-office/2016/05/23/remarks-president-obama-and-president-quang-vietnam-joint-press
11. The White House. (2016, May 24). Remarks by President
Obama in Address to the People of Vietnam. Retrieved from https://www.whitehouse.gov/the-press-office/2016/05/24/remarks-president-obama-address-people-vietnam
-----------------------------