การสังหารหมู่ที่ออร์แลนโด้กับเทคนิคหาเสียงของทรัมป์
เมื่อวันอาทิตย์ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา เกิดเหตุมือปืนกราดยิงประชาชน เป็นเหตุให้ 49 คนเสียชีวิต บาดเจ็บจำนวนมาก ผู้ลงมือคือนายโอมาร์ มาทีน (Omar Mateen) อายุ 29 ปี เป็นพลเมืองอเมริกัน พ่อแม่เป็นผู้อพยพจากอัฟกานิสถาน นายมาร์ทีนเป็นมุสลิม ทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยกว่า 10 ปีแล้ว ครอบครองปืนอย่างถูกกฎหมาย นายมาทีนประกาศตนจงรักภักดีต่อนายอบู บาการ์ อัล-บักดาดี (Abu Bakr al-Baghdadi) ผู้นำกลุ่มรัฐอิสลาม (IS)
ท่าทีของทรัมป์ :
ไม่นานหลังเกิดเหตุโดนัลด์ ทรัมป์ใช้เหตุการณ์นี้กล่าวสนับสนุนนโยบายไม่รับมุสลิมอพยพเข้าประเทศ
ชี้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเรื่องที่เขาเตือนล่วงหน้าแล้ว แม้นายมาทีนเป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด
“แต่พ่อแม่เขาไม่ใช่และแนวคิดของเขาก็ไม่ได้เกิดที่นี่”
ในระยะหลังทรัมป์จำกัดกรอบไม่รับมุสลิมอพยพกับมุสลิมจากบางประเทศเข้าเมือง
โดยเฉพาะประเทศที่มีประวัติก่อการร้ายต่อสหรัฐ ชี้ว่าคนเหล่านี้คือต้นเหตุของการก่อการร้ายในประเทศ
ถึงกับเชื่อว่าเป็นแผนของผู้ก่อการร้ายที่จะแอบแฝงเข้าประเทศ
ข้อเท็จจริงที่ทรัมป์ละเลยคือ
ปัจจุบันประชากรอเมริกันที่นับถืออิสลามมีราว 3.3 ล้านคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 24 เป็นคนที่เปลี่ยนมานับถืออิสลามภายหลัง
(ก่อนหน้านี้นับถือศาสนาอื่น) ร้อยละ 40
ของผู้ต้องสงสัยที่ถูกทางการจับกุมคือคนที่เปลี่ยนมานับถืออิสลามภายหลัง คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้อพยพหรือลูกหลานของผู้อพยพ
อาจเป็นคนอเมริกันผิวขาวแท้ๆ
ประเด็นที่วิพากษ์กันมากคือทรัมป์ระบุว่าผู้ก่อเหตุเป็นอิสลามหัวรุนแรง
(radical Islamic terrorist) “อิสลามหัวรุนแรงต่อต้านสตรี
ต่อต้านเกย์ และต่อต้านอเมริกัน”
ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าทรัมป์ไม่ได้บอกว่ามุสลิมทุกคนหัวรุนแรง
หวังจะทำงานร่วมกับชุมชนมุสลิม
หวังให้ชาวอเมริกันทุกคนรวมทั้งมุสลิมประสบความสำเร็จ อเมริกันยังคงจะอดกลั้นและเป็นสังคมเปิดต่อไป
หนึ่งในมาตรการที่ทรัมป์เรียกร้องคือออกกฎหมายตรวจสอบติดตามมัสยิดต่างๆ
“ด้วยความเคารพ เราต้องตรวจตรามัสยิดต่างๆ และเราต้องตรวจตราสถานที่อื่นๆ
เพราะถ้าไม่แก้ไขปัญหา มันจะกินประเทศของเราทั้งเป็น” ต้องรู้ว่าผู้คิดก่อเหตุกำลังคุยกับใคร
องค์กรไหน รู้ว่ามัสยิดใดหรือกลุ่มไหนมีแนวคิดหัวรุนแรง
นอกจากนโยบายไม่รับมุสลิมอพยพ นโยบายอื่นๆ เช่น สนับสนุนให้คนอเมริกันมีอาวุธต่อไป
หากไม่ปล่อยให้มีเสรีภาพในการถือครองปืน จะเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตราที่ 2
และจะกลายเป็นว่าผู้ก่อการร้ายเท่านั้นที่มีอาวุธ จะเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องข่าวกรองและทำสงครามเอาชนะ
IS ในต่างแดน
เทคนิคการหาเสียงของทรัมป์ :
การสังหารหมู่ที่ออร์แลนโด้สามารถประมวลเทคนิคหาเสียงของทรัมป์
ดังนี้
ประการแรก ตอบสนองความต้องการของประชาชน
ทรัมป์มีมุมมองโดยรวมที่ค่อยไปทางลบต่อมุสลิม
สอดคล้องกับชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่คิดเช่นนี้เหมือนกัน ถ้ายึดหลักประชาธิปไตยอาจตีความว่าทรัมป์เป็นผู้สมัครที่
“ตอบสนอง” ความต้องการของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
กรณีการควบคุมปืนเป็นอีกตัวอย่าง
ฮิลลารีชูประเด็นควบคุมอาวุธปืนเป็นแนวทางของเดโมแครท
แต่คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย ตรงข้ามกับทรัมป์ที่สนับสนุนเรื่องประชาชนมีอาวุธปืน
เชื่อมโยงกับประเด็นความน่ากลัวของมุสลิมหัวรุนแรง สร้างภาพอย่างผิดๆ ว่าถ้าประชาชนไม่มีอาวุธ ผู้ก่อการร้ายจะก่อเหตุตามใจชอบ
จะเห็นว่าทรัมป์มุ่งนำเสนอประเด็นที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน
โดยเฉพาะประเด็นที่ประชาชน “มีความรู้สึกรุนแรง”
แม้ผู้นำองค์กรมุสลิมอเมริกันกว่า 10 แห่งทั่วประเทศแถลงประณามการสังหารหมู่ที่ออร์แลนโด้
ผู้ก่อเหตุทำผิดหลักศาสนาและขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้สูญเสีย
แต่มุสลิมบางคนเชื่อว่าชาวอเมริกันทั่วไปไม่สนใจแถลงการณ์เหล่านั้น หลายคนยังมองมุสลิมเป็นพวกหัวรุนแรง
เกลียดชังคนอาหรับ เหตุสังหารหมู่จะเป็นอีกครั้งที่จะกระตุ้นกระแสเกลียดชังมุสลิม
ประการที่ 2 พูดตรงพูดความจริง?
เทคนิคอีกประการที่ทรัมป์ใช้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่แรกคือย้ำว่าตนเป็นคนพูดตรง
พูดความจริง
การพูดตรงพูดความจริงน่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์หาเสียง
ประเด็นอยู่ที่พูดความจริงที่เป็น “ความจริง” หรือไม่ หรือเพียงพูดสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดเห็นเช่นนั้น
สรุปสั้นๆ คือ พูดทวนความในใจของคนฟังซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
ทำให้คนฟังคล้อยตาม
และเห็นว่านโยบายของทรัมป์คือนโยบายที่ดีตอบสนองความต้องการของประชาชน
ในขณะเดียวกันจะโจมตีว่าคนอื่นอ่อนแอ
แต่ไหนแต่ไรพรรครีพับลิกันจะโจมตีประธานาธิบดีโอบามาว่าเป็นผู้นำที่อ่อนแออยู่เสมอ
ในประเด็นความมั่นคงทางทหารพวกพรรครีพับลิกันมักใช้ถ้อยคำลีลาที่รุนแรงกว่าประธานาธิบดีโอบามา
ทั้งๆ ที่โดยสาระอาจแทบไม่ต่างกันเลย
มีกรณีตัวอย่างที่สนใจคือ เมื่อรัฐบาลโอบามาถูกกดดันทั้งจากภายในและภายนอกประเทศให้โจมตีกองทัพรัฐบาลซีเรียหลังเกิดเหตุใช้อาวุธเคมีที่ชานกรุงดามัสกัสเมื่อสิงหาคม
2013 มีผู้เสียชีวิตถึง 1,429 คน รัฐบาลโอบามาประกาศชัดว่ากองทัพรัฐบาลอัสซาดต้องรับผิดชอบ
พวกรีพับลิกันกดดันให้ประธานาธิบดีโอบามาสั่งการโจมตี แต่ประธานาธิบดีโอบามาโยนให้รัฐสภาเป็นผู้ตัดสินใจ
ที่สุดแล้วเรื่องเงียบหายไปเฉยๆ (ทางสภาชี้แจงว่าต้องใช้เวลาพิจารณา)
ไม่มีการชี้แจงเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
บางครั้งทรัมป์พูดโจมตีคนอื่นว่าอ่อนแออย่างไร้เหตุผล
เช่น ทรัมป์รู้ว่าฮิลลารีจะไม่เอ่ยคำว่า “อิสลามหัวรุนแรง” จึงนำจุดนี้เป็นข้อสรุปว่าฮิลลารีอ่อนแอ
อันที่จริงแล้วจะเอ่ยคำดังกล่าวหรือไม่
ไม่ควรเป็นข้อสรุปว่าคนผู้นั้นเป็นผู้นำที่เข้มแข็งหรือไม่
รวมความแล้ว การโจมตีพวกเดโมแครทว่าอ่อนแอคือแนวทางของรีพับลิกัน
ทรัมป์ไม่ได้แตกต่างจากพรรค ไม่ว่าจะโจมตีประธานาธิบดีโอบามาหรือฮิลลารีนำสู่ข้อสรุปเดียวกันคือต้องเลือกรีพับลิกันซึ่งหมายถึงตัวเขานั่นเอง
ประการที่ 3 พูดแบบ “เหมารวม”
ความตอนหนึ่งทรัมป์กล่าวโทษมุสลิมอเมริกันที่ไม่ยอมส่งมอบพวกหัวรุนแรงให้กับเจ้าหน้าที่
พวกเขา “ไม่ส่งมอบคนที่พวกเขารู้ว่าเป็นคนเลว” จึงเกิดเหตุรุนแรงและมีคนตาย ประโยคนี้ทรัมป์ใช้วิธี
“เหมารวม” ว่ามุสลิมอเมริกันทุกคนช่วยปกป้องมุสลิมหัวรุนแรง ถ้าทรัมป์ตั้งใจพูดเช่นนั้นจริงเท่ากับทรัมป์สร้างกระแสเกลียดชังมุสลิม
ไม่ต่างจากมุสลิมบางคนประกาศทำสงครามกับผู้นับถือคริสต์
การพูดแบบ “เหมารวม” เป็นการย่อถ้อยคำให้กะทัดรัด
เข้าใจง่าย จดจำง่าย ข้อเสียคือสร้างความเข้าใจผิดได้ง่าย เช่นกรณีนี้อาจตีความว่าหมายถึงมุสลิมอเมริกันทุกคนที่ปกป้องพวกหัวรุนแรง
ความจริงแล้วพฤติกรรมของมาร์ทีนไม่เป็นที่ยอมรับจากมุสลิมกระแสหลัก องค์การความร่วมมืออิสลาม
(Organization of Islamic Cooperation: OIC) มีแถลงการณ์เตือนการหาเสียงเพื่อเป้าหมายส่วนตัว
ใช้วาทกรรมสร้างกระแสหวาดกลัวอิสลาม OIC ยืนยันหลักการอิสลามที่ให้รักสันติ
ก่อการร้ายทุกรูปแบบเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
แถลงการณ์ของ OIC ครั้งนี้สอดคล้องกับแถลงการณ์ในอดีต เช่นเมื่อกันยายน
2014 ยืนยันว่าแนวทางของกลุ่มก่อการร้ายอย่าง IS ไม่มีส่วนใดที่เข้ากับอิสลาม
และขอประณามการเคลื่อนไหวของกลุ่มเหล่านี้
ประการที่ 4 สร้างภาพให้เห็นความรุนแรง
การสังหารหมู่ที่ออร์แลนโด้เป็นโศกนาฏกรรมในตัวเองอยู่แล้ว
เป็นเหตุร้ายที่รุนแรงสุดในประวัติศาสตร์การสังหารหมู่โดยมือปืน
ทรัมป์อาศัยเหตุร้ายนี้ “ขยายผล” ให้เห็นความรุนแรงที่จะ “มากขึ้น”
ชี้ว่าในอนาคตจะเกิด “ซ้ำอีก” และ “รุนแรงกว่าเดิม”
ผู้ก่อการร้ายก่อเหตุเพราะรู้ว่าไม่สามารถสู้กับฝ่ายตรงข้ามซึ่งหน้า
จึงใช้วิธีก่อเหตุรุนแรงต่อคนทั่วไป ยิงหรือจุดระเบิดให้มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมาก
ด้วยความหวังว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะสร้างความหวาดผวาแก่สังคม ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่
วิธีหาเสียงของทรัมป์สร้าง “ความหวาดผวาให้หนักกว่าเดิม”
ตอกย้ำความน่ากลัวของมุสลิมหัวรุนแรง น่าคิดว่าทรัมป์กำลังก่อการร้ายกับประเทศตัวเองหรือไม่
กำลัง “ขยายผล” เหตุร้ายออร์แลนโด้หรือไม่
ประธานาธิบดีโอบามากล่าวโต้นโยบายการตรวจตรามุสลิมอเมริกันว่า
“เรากำลังปฏิบัติต่อมุสลิมอเมริกันอย่างแตกต่าง (จากพลเมืองอื่นๆ) หรือไม่
...เรากำลังเริ่มแบ่งแยกพวกเขาเพราะความเชื่อหรือไม่” หากสังคมอเมริกันเกลียดชังมุสลิมเท่ากับเข้าแผนโฆษณาชวนเชื่อของ IS ที่ต้องการให้มุสลิมทำสงครามกับทุกศาสนา
ผลักดันให้หลายคนอยู่ฝ่ายผู้ก่อการร้าย
ความอีกตอนกล่าวว่า
เราเคยผ่านเหตุการณ์ในอดีตที่รัฐบาลของเราปฏิบัติอย่างมิชอบต่อพลเมือง
“เป็นส่วนของประวัติศาสตร์ที่น่าละลาย” นั่นไม่ใช่อุดมการณ์ประชาธิปไตย
ไม่ช่วยให้เราปลอดภัยขึ้น
นโยบายตรวจตรามุสลิมอเมริกันจะทำให้ผู้ก่อการร้ายลดความพยายามหรือไม่
เราจะมีพันธมิตรมากขึ้นไหม
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป
:
เมื่อพิจารณาคำปราศรัยคำพูดของโดนัลด์ ทรัมป์ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐผ่านเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ออร์แลนโด้
สรุปสั้นๆ ได้ว่าทรัมป์ใช้วิธี “เล่นกับความรู้สึก” ของคน โดยขยายความประเด็นนั้นๆ
ให้รุนแรงที่สุด (สร้างความรู้สึกให้แรงสุด) โจมตีผู้สมัครคนอื่นว่าผิดหมด
(ทำลายแนวทางเลือกอื่นๆ)
พร้อมกับเสนอวิธีแก้ไขที่ไม่อาจสมเหตุผลแต่ตอบสนองความรู้สึกของผู้ที่มองแง่ลบต่อมุสลิมอยู่แล้ว
น่าสนใจว่าสถานการณ์โลกจะเป็นอย่างไรหากสหรัฐอเมริกาได้โดนัลด์
ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี
19 มิถุนายน 2016
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 7164 วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2559)
--------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
เป็นหลักการที่ถูกต้องถ้าผู้พูดเลือกพูดประเด็นที่ผู้ฟังสนใจ
ผู้ฟังจะชอบใจถ้าได้ฟังเรื่องที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อตน แต่การหาเสียงด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นการชี้นำสังคมไปผิดทิศผิดทาง
ไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ที่ประกาศตัวอาสาเป็นตัวแทนประชาชนรับใช้ประเทศ
กรณีทรัมป์หาเสียงเพื่อเอาใจพวกที่นิยมชมชอบอิสราเอลเป็นกรณีตัวอย่าง เป็นจุดอ่อนประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง
บรรณานุกรม:
1. Anderson, Sean K., & Sloan, Stephen. (2009). Historical
Dictionary of Terrorism (3rd Ed.). USA: Scarecrow Press.
2. Hanania, Ray. (2016,
June 13). MUSLIM ORGANIZATIONS DENOUNCE ORLANDO MASSACRE. The Arab Daily
News. Retrieved from
http://thearabdailynews.com/2016/06/13/muslim-organizations-denounce-orlando-massacre/
3. Martin, Jonathan. (2016, June 12). Donald Trump
Seizes on Orlando Shooting and Repeats Call for Temporary Ban on Muslim
Migration. The New York Times. Retrieved from
http://www.nytimes.com/2016/06/13/us/politics/trump-clinton-sanders-shooting-reaction.html
4. Orlando shooting: Obama slams Trump's Muslim ban call. (2016,
June 15). Al Jazeera. Retrieved from http://www.aljazeera.com/news/2016/06/obama-slams-trump-anti-muslim-rhetoric-160614164625273.html
5. Organization of Islamic Cooperation. (2014, September
25). OIC welcomes President Obama’s call to confront extremist ideology.
Retrieved from http://www.oic-oci.org/oicv2/topic/?t_id=9363&t_ref=3737&lan=en
6. Organization of Islamic Cooperation. (2016, June
13). The OIC Calls for Caution before Passing Judgment over the Incident in
Florida or Associating it with Political Agendas. Retrieved from
http://www.oic-oci.org/oicv3/topic/?t_id=11295&t_ref=4439&lan=en
7. Read Donald Trump’s Speech on the Orlando Shooting. (2016,
June 13). TIME. Retrieved from http://time.com/4367120/orlando-shooting-donald-trump-transcript/
8. Swicord, Jeff. (2016, June 13). Islamist Extremism
in US Getting Closer Look. VOA News. Retrieved from
http://www.voanews.com/content/islamist-extremism-in-america/3374109.html
9. Trump backs surveillance of mosques despite criticism of
rhetoric. (2016, June 15). Arab News/Reuters. Retrieved from http://www.arabnews.com/node/940096/world
10. The White House. (2013, August 30). Government
Assessment of the Syrian Government’s Use of Chemical Weapons on August 21,
2013”. Retrieved from http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2013/08/30/government-assessment-syrian-government-s-use-chemical-weapons-august-21)
11. The White House. (2013, August 31). Statement by the
President on Syria. Retrieved from http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2013/08/31/statement-president-syria
12. Usborne, David. (2016, June 15). After Orlando,
President Obama denounces Donald Trump on policy towards Muslims. 'Where does
it stop?' The Independent. Retrieved from http://www.independent.co.uk/news/world/americas/after-orlando-president-obama-denounces-donald-trump-on-policy-towards-muslims-where-does-it-stop-a7082446.html
-----------------------------