มาเลเซียประกาศเผชิญหน้าผู้ก่อการร้ายดาอิช (IS)
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นาจิบ ราซัค (Najib Razak) นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยอมรับว่าดาอิช (IS/ISIL/ISIS) กำลังคุกคามมาเลเซีย หลังการเผยแพร่วีดีโอจากกลุ่ม IS ในภูมิภาคประกาศว่าจะโจมตีมาเลเซีย ความตอนหนึ่งของวีดีโอนำเสนอว่า “พวกเราจะทวีมากขึ้นถ้าท่านจับเรา แต่ถ้าท่านปล่อยให้เราทำ เราจะใกล้เป้าหมายนำการปกครองแบบคอลีฟะห์กลับมา” “เราจะไม่ยอมก้มหัวต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะเราดำเนินตามกฎเกณฑ์อัลเลาะห์เท่านั้น
โจ ไบเดนกับใครสนับสนุน IS สงครามซุนนี-ชีอะห์และการโค่นล้มอัสซาด (ตอนที่ 2)
เมื่อ 24 มกราคมที่ผ่านมา ตำรวจมาเลย์จับกุมสมาชิก IS กลุ่ม Katibah
Nusantara (Malay Archipelago
Combat Unit) ที่กำลังวางแผนก่อการร้ายในประเทศ
ข้อมูลบางแหล่งระบุว่าทางการมาเลเซียจับกุมพลเมืองผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับ
IS กว่า 150 รายแล้ว
หลายสิบคนผ่านการอบรมจากตะวันออกกลาง
ประชาคมโลกเอ่ยถึงการมีตัวตนของ IS/ISIL/ISIS
ตั้งแต่กลุ่มเริ่มปรากฏตัว มีพัฒนาการเรื่อยมาจนกลายเป็น IS (รัฐอิสลาม)
ข่าวการปรากฏตัวของ IS ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมานานหลายปีพร้อมกับพัฒนาของการ
IS
ต่างกันเพียงว่าผู้ปกครองหรือรัฐบาลจะยอมรับอย่างเปิดเผยหรือไม่
ในกรณีของมาเลเซีย
รัฐบาลได้ประกาศต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนแล้วว่าประเทศกำลังเผชิญภัยก่อการร้ายจากกลุ่มนี้
เป็นผลจากการตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องประกาศแล้ว การประกาศมีผลดีมากกว่าผลเสีย
ดาอิชไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับอิสลาม :
นายกฯ นาจิบกล่าวปาถกฐาในงานประชุม International Conference on
Deradicalisation and Countering Violent Extremism เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ณ
กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีใจความสำคัญดังนี้
โลกทราบดีถึงความโหดร้าย (brutality)
และป่าเถื่อน (barbarity) ของดาอิชที่กระทำต่อพี่น้องของเราทั้งในซีเรียกับอิรัก
คนนับล้านต้องอพยพลี้ภัย หลายพันถูกสังหาร บังคับคนที่เหลือดำเนินชีวิตภายใต้ความชั่วร้ายของพวกเขา
เป็นทรราชต่ำทราม นอกจากนี้เรายังเห็นความโหดร้ายในการโจมตีกรุงปารีส อิสตันบูล
อังการา เบรุต จาการ์ตา ฯลฯ
ไม่มีส่วนใดของก่อการร้ายที่สอดคล้องกับอิสลาม
กลุ่มเหล่านี้สบประมาทศาสนาแห่งสันติ ความอดกลั้นและความเข้าใจ
มุสลิมเกือบทั้งหมดต่างพูดชัดเป็นเสียงเดียวว่าอย่าได้กระทำในนามศาสนาของเรา
แต่เราต้องยอมรับว่าคนหนุ่มสาวของพวกเราหลายคนถูกล่อลวงให้เข้าร่วมกลุ่ม
กลุ่มที่อ้างอย่างผิดๆ ว่าศาสนาเรียกร้องให้พวกเขากระทำเช่นนั้น
เป็นความท้าทายที่พวกเราทั้งโลกต้องเผชิญ
เดือนนี้เองตำรวจเข้าจับกุมชาวมาเลย์ 3
คนที่พยายามไปซีเรียเข้าร่วมดาอิช หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายอายุ 16 ปี
จริงหรือที่เขาเป็นคนชั่ว (evil person) หรือว่าถูกล้างสมองกันแน่ อีกเหตุการณ์หนึ่งเมื่อ
10 วันก่อน ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกจับกุมและยอมรับว่าเตรียมวางแผนโจมตีพลีชีพ
ภัยคุกคามมีจริงแน่นอนและรัฐบาลจริงจังกับเรื่องนี้มาก เป็นเหตุต้องออกกฎหมาย Security
Offences (Special Measures) Act หรือ
SOSMA
เป็นมาตรการพิเศษเพื่อต่อต้านก่อการร้าย ป้องกันการแทรกซึม
ยกระดับมาตรการป้องกันตัวเอง
เป็นการถูกต้องที่จะเอ่ยถึงความสมดุลระหว่างเสรีภาพของพลเรือนกับความมั่นคงแห่งชาติ
แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าพลเรือนไม่มีเสรีภาพภายใต้ดาอิช ทางที่ดีที่สุดเพื่อรักษาเสรีภาพคือทำให้มั่นใจว่าประเทศปลอดภัย
ข้าพเจ้าไม่เสียใจที่จะทำให้ประเทศปลอดภัย เป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก
เราจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายก่อนจึงค่อยวางมาตรการป้องกัน
อย่างหนึ่งที่สำคัญในการต่อต้านลัทธิรุนแรงสุดโต่ง
(violent extremism) คือขจัดการบิดเบือนการโกหกทางศาสนา
นำเสนอแนวทางอิสลามเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าพวกสุดโต่งคือพวกสบประมาทศาสนา
พวกเขาดูหมิ่นอัลกุรอานและท่านนบีมูฮัมหมัดเมื่อพวกเขากระทำอ้างนามของท่านหรือสิทธิอำนาจของท่าน
มาเลเซียเน้นหลักความทันสมัยมานานแล้ว
ปฏิบัติตามหลักวะสะฏียะฮ์ ความสุดโต่งไม่ใช่อิสลาม
หลักวะสะฏียะฮ์
(wasatiyyah) :
นายกฯ นาจิบเอ่ยถึงหลักวะสะฏียะฮ์ (wasatiyyah) ว่าเป็นบัญญัติจากอัลกุรอาน “เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติสายกลาง” หลักการนี้ให้ความสำคัญกับความสมดุลและความพอดี ยึดทางสายกลาง ไม่สุดโต่ง ตั้งอยู่บนความยุติธรรม ความสมดุลระหว่างความศรัทธาในศาสนากับความต้องการวัตถุ ไม่มีการบังคับใดๆ ในการนับถือศาสนา
หลักวะสะฏียะฮ์สามารถนำไปใช้ในทุกด้านไม่เพียงศาสนาเท่านั้น ใช้ได้ทั่วไปทั้งในระดับสังคมกับปัจเจกบุคคล
เป็นประชาธิปไตยสายกลาง ไม่ล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคลที่ถือหลักศรัทธาแตกต่าง
เปิดโอกาสให้ทุกคนปฏิบัติศาสนาที่ตนเลื่อมใสและศรัทธา ยอมรับความหลากหลายเพราะเป็นรากฐานแห่งความภราดรภาพที่ประเสริฐยิ่ง
นายกฯ นาจิบกล่าวถึงการบริหารประเทศภายใต้หลักวะสะฏียะฮ์ว่า “มาเลเซียในฐานะประเทศมุสลิมที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีรายได้ชั้นกลางระดับบนอันทันสมัยประเทศหนึ่งของโลก นอกจากนี้เรายังสามารถลบคำสบประมาทต่อความคิดเดิมๆ
ที่ว่าประเทศอิสลามนั้นไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เผด็จการ บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอันมั่งคั่งที่ตนเองมีอยู่ไม่เป็น และขาดความยุติธรรมในสังคม”
นายกฯ นาจิบกล่าวว่า “กระผมอยากจะกล่าวอย่างชัดเจนที่นี่ว่าผู้ที่ระเบิดฆ่าตัวตายนั้นไม่ได้เป็นผู้เสียสละชีวิตอุทิศตนเพื่อศาสนาแต่อย่างใด พวกเขาไม่แม้แต่จะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสลาม หารู้ไม่พวกเขาคือผู้หลงผิดในการกระทำบาปอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นผู้ที่จงเกลียดจงชังและโหมเชื้อไฟและความรุนแรงเพื่อให้เกิดการกระทำดังกล่าวนั้นพวกเขาเป็นผู้ผิดบาปเฉกเช่นเดียวกัน
…อิสลามไม่เคยสอนให้กระทำเช่นนั้น มันไม่ได้อยู่ในคำสอนของอิสลามเสียด้วยซ้ำ แท้ที่จริงแล้วอิสลามเกลียดชังการฆ่าตัวตายเป็นอย่างยิ่ง”
“ศาสนาอิสลามมีข้อห้ามเกี่ยวกับการคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นแล้วการระเบิดคร่าชีวิตพลเรือนนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ในอิสลาม ดังที่ท่านได้ทราบแล้วว่าแม้กระทั่งในสภาวะจลาจลหรือสนามรบ การคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์นั้นไม่ถือเป็นสิ่งที่อนุญาตอย่างยิ่ง”
ในอีกวาระหนึ่งกล่าวว่า “นักวิชาการอิสลามหลายท่านระบุไว้อย่างชัดเจนว่าบุคคลใดที่กระทำการและสร้างความรุนแรงนั้นไม่ใช่มุสลิมที่แท้จริง อุดมการณ์ตาลปัตรของพวกเขาไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในพระเจ้าแต่อย่างใดเลย”
รัฐบาลมาเลเซียเป็นอีกประเทศที่ประกาศต่อต้าน IS สอดคล้องกับแถลงขององค์การความร่วมมืออิสลาม
(OIC) ที่ประกาศว่าแนวทางของกลุ่มก่อการร้าย IS ไม่มีส่วนใดที่เข้ากับอิสลาม พร้อมกับขอประณามการเคลื่อนไหวของกลุ่มเหล่านี้
เป็นอิสลามหรือไม่เป็นอิสลาม :
ในขณะที่พวก IS
เห็นว่าพวกเขาปฏิบัติตามหลักอิสลาม องค์กรอิสลาม นักวิชาการมุสลิมกระแสหลัก
รวมทั้งหลักวะสะฏียะฮ์ (wasatiyyah) ที่นายกฯ นาจิบนำเสนอล้วนพูดอย่างชัดเจนว่าแนวทางของ IS ไม่ใช่อิสลาม
ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับอิสลามและเป็นศัตรูของอิสลาม
พอจะสรุปได้ว่าเป็นความแตกต่างระหว่างมุสลิมกระแสหลักกับพวก IS
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เข้าร่วม IS น่าจะเข้าร่วมด้วยเหตุผลหลากหลาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งที่เข้าร่วมมีพื้นฐานดั้งเดิมเป็นมุสลิมและมาศรัทธา
คนเหล่านี้ย่อมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าแนวทาง IS
เป็นแนวทางอิสลามที่ถูกต้อง (หรือถูกต้องกว่า)
แม้มุสลิมจำนวนมากจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
นอกจากนี้ มุสลิมบางคนอาจไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ IS ไม่คิดจะเป็นสมาชิก แต่เห็นว่าเป็นการดีที่มีคนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้านผู้นำมุสลิมเผด็จการ
ต่อต้านตะวันตก
และยังมีประเภทไปด้วยเหตุผลอื่นๆ เป็นหลัก
เช่น เศรษฐกิจ เรื่องของอิสลามเป็นเหตุผล “พ่วง” เท่านั้น
IS จะเป็นอิสลามหรือไม่เป็นอิสลามจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สำคัญที่ว่ามุสลิมกระแสหลักต้องชูธงประกาศชัดว่าอย่างไรจึงเป็นอิสลาม
ให้ความเป็นอิสลามปรากฏอยู่ในมุสลิมทุกคน
พร้อมๆ กับที่ประชาคมโลกต้องเข้าใจ
ไม่หลงกลของพวกสุดโต่ง ไม่คิดว่าเป็นสงครามศาสนา
หรือการปะทะระหว่างอายธรรมตะวันตกกับอิสลามดังที่บางคนพยายามยัดเยียดให้เข้าใจเช่นนั้น
พลังสื่อโซเชียลมีเดีย :
ความสำเร็จหรือความร้ายแรงของดาอิชคือ ในช่วงเวลาไม่กี่ปีสามารถดึงคนร่วมร้อยประเทศเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม
ผู้คนหลายหมื่นเข้าสมรภูมิซีเรียกับอิรักเพื่อสู้รบในนามดาอิช บางส่วนเสียชีวิต
บางส่วนกลับประเทศกลายเป็นบุคคลอันตราย ที่สำคัญคือต้องตระหนักว่ายังมีอีกมากที่เห็นด้วยกับอุดมการณ์โดยไม่เปิดเผยตัว
สาเหตุหนึ่งที่เป็นเช่นนี้มาจากเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ที่เข้าถึงตัวบุคคลอย่างเจาะจง
และเชื่อมโยงกันทั้งโลก สื่อโซเชียลมีเดียเป็นสื่อที่ใช้ง่าย สะดวก รวดเร็ว
ราคาไม่แพง ใครๆ ก็มีอุปกรณ์รับส่งสื่อนี้ติดตัว
ถ้าผู้ก่อการ้ายใช้ประโยชน์จากสื่อโซเชียลมีเดีย
เหล่าผู้ต่อต้านก่อการร้ายสามารถใช้เช่นกัน และน่าจะมีพลังมากกว่าหลายเท่าหากดูจากจำนวนคนของแต่ละฝ่าย
เป็นโอกาสดีที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหยิบยื่นให้ประชาชนคนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในระดับระดับโลก
ร่วมกันต่อต้านก่อการร้าย ความรุนแรงอย่างผิดๆ ให้เสียงของผู้รักสันติกลบเสียงความหลงผิดของผู้ก่อการร้าย
การรวมพลังคนทั้งโลกเพื่อต้านผู้ก่อการร้าย
ลัทธิสุดโต่งเป็นเรื่องท้าทาย แต่หากประสบความสำเร็จแล้วจะเป็นได้ประโยชน์มหาศาล
เป็นพลังให้กับการขับเคลื่อนในประเด็นอื่นๆ ด้วย เช่น การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
มลภาวะต่างๆ
31 มกราคม 2016
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 7024 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2559)
------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ในโลกมุสลิมมีผู้เชื่อว่าซุนนีกับชีอะห์มีความขัดแย้ง
และในขณะนี้มีผู้พยายามอ้างว่าสงครามในซีเรียกับอิรักคือสงครามตัวแทนซุนนี-ชีอะห์ โดยเชื่อมโยงว่า
IS คือเครื่องมือของซุนนี แต่เมื่อองค์กร ผู้นำจิตวิญญาณอิสลามประกาศชัดว่า
IS ไม่ใช่อิสลาม การอ้าง IS เป็นเหตุผลสงครามตัวแทนซุนนี-ชีอะห์จึงตกไป
น่าแปลกใจที่รองประธานาธิบดีไบเดนกลับพยายามดึง IS
เข้าไปอยู่ในอิสลาม ยังยืนยันว่า IS อยู่ในกลุ่มซุนนี กำลังทำสงครามตัวแทนซุนนี-ชีอะห์
บรรณานุกรม:
1. Institut Terjemahan & Buku Malaysia. (2012). การเคลื่อนไหวของการต่อต้านความรุนแรงระดับโลก.
GLOBAL MOVEMENT OF MODERATES FOUNDATION. Retrieved from http://www.gmomf.org/wp-content/uploads/media/1228.pdf.
2. Jensen, Richard Bach. (2013). The first global wave of
terrorism and international counter-terrorism, 1905–14. In An International
History of Terrorism. (pp.16-33). Oxon: Routledge.
3. Latiff, Rozanna. (2016, January 25). Malaysia says
Islamic State threat "very real" as video warns of attacks. Reuters.
Retrieved from http://www.reuters.com/article/us-malaysia-security-meet-idUSKCN0V30Q5
4. OIC welcomes President Obama’s call to confront extremist
ideology. (2014, September 25). Organisation of Islamic Cooperation.
Retrieved from http://www.oic-oci.org/oicv2/topic/?t_id=9363&t_ref=3737&lan=en
5. Parameswaran, Prashanth. (2016, January 25). Islamic
State Vows Revenge on Malaysia Amid Crackdown, Terror Meet. The Diplomat.
Retrieved from
http://thediplomat.com/2016/01/islamic-state-vows-revenge-on-malaysia-amid-crackdown-terror-meet/
6. PM Najib's speech at the International Conference on
Deradicalisation and Countering Violent Extremism. (2016, January 25). The
New Strait Times. Retrieved from http://www.nst.com.my/news/2016/01/123913/pm-najibs-speech-international-conference-deradicalisation-and-countering
-----------------------------