การพบปะของ 2 ประธานาธิบดีจีนกับไต้หวัน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้พบปะประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว (Ma Ying-jeou) แห่งไต้หวันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา 2 ผู้นำได้จับมือทักทายด้วยรอยยิ้ม พูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่าย เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อตุลาคม 1949 (ราว 66 ปี) หรือนับตั้งแต่ฝ่ายพรรคชาตินิยม (ก๊กมินตั๋ง) พ่ายแพ้กองทัพแดงของเหมา เจ๋อตงถอยมาปักหลักที่ไต้หวัน
เนื่องจากเป็นการพบปะครั้งแรก จึงเน้นสร้างความประทับที่ดีต่อกัน
ประกาศล่วงหน้าว่าไม่มีการลงนามข้อตกลงใดๆ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องตกลงเจรจารวมประเทศ ในขณะที่มีคำถามจากพรรคฝ่ายค้าน
Democratic Progressive Party’s (DPP) ว่าประธานาธิบดีหม่าจะไป
“ขายไต้หวัน” หรือไม่
การพบปะในอดีต การปูทาง :
การพบปะของ
2 ประธานาธิบดีถือว่าผลงานของรัฐบาลหม่าที่ปูทางหลายปีเพื่อให้เกิดวาระนี้
ดังที่เคยนำเสนอแล้วว่า
ในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลปักกิ่งไม่ยอมเจรจากับรัฐบาลไทเป เนื่องจากไม่ยอมรับว่ารัฐบาลไทเปเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรม
เป็นพวกกบฏไปตั้งมั่นเกาะไต้หวันซึ่งจีนถือว่าเป็นมณฑลหนึ่งมาโดยตลอด
ที่ผ่านมา 2 ฝ่ายจะพูดคุยผ่านบุคคลที่ไม่นับว่าเป็นข้าราชการหรือคนของทางการเต็มตัว
แต่ด้วยการติดต่อสัมพันธ์ ทั้ง 2
ฝ่ายได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
ดังนั้นหากจะใช้ช่องทางเดิมย่อมดำเนินต่อไปได้
แต่การพบปะเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014
ระหว่างเจ้าหน้าที่ตัวแทนรัฐบาลจีนกับไต้หวัน
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นการประชุมอย่างเป็นทางการ
“ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ “ของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งมีค่าเท่ากับรัฐบาลปักกิ่งยอมรับรัฐบาลไทเปในระดับหนึ่ง
แม้ว่าสื่อ Xinhua กับสื่ออื่นๆ ของจีนจะเรียกตัวแทนฝ่ายไต้หวันว่าเป็น
“ประธานคณะกรรมการกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ของฝ่ายไต้หวัน” (head of the
Mainland Affairs Council on the Taiwan side) การเรียกเช่นนี้ชี้ว่ารัฐบาลจีนยังไม่ได้ยอมรับอธิปไตยของไต้หวัน
ซึ่งมีชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่าสาธารณรัฐจีน (Republic of China)
อย่างไรก็ตาม
การยอมรับฐานะ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ไต้หวัน นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่รัฐบาลจีนเริ่มแสดงท่าทีบางอย่าง
“ยอมรับ” รัฐบาลไทเปมากขึ้น และเมื่อมีการพบปะอย่างเป็นทางการครั้งแรกย่อมน่าจะมีครั้งต่อๆ
ไป กลายเป็นการติดต่อระหว่าง “ฝ่ายราชการ” กับ “ฝ่ายราชการ”
และปูทางสู่การพบปะของ 2 ผู้นำในครั้งนี้
วิเคราะห์ :
ประการแรก ผลประโยชน์ที่รัฐบาลหม่าได้
รัฐบาลหม่ามีนโยบายฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีน
การลดความตึงเครียดระหว่าง 2 ฝ่าย สร้างประโยชน์แก่ไต้หวันมากมาย เช่น
ไม่ต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหม การเร่งสร้างพลังอำนาจทหารให้ทัดเทียมจีนเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้
นับวันกองทัพจีนมีความทันสมัย มีพลังอำนาจเหนือไต้หวัน
ที่สำคัญกว่าคือไม่ทำลายบรรยากาศการค้าการลงทุน
นับวันเศรษฐกิจ 2
ประเทศพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างมาก บริษัทไต้หวันจำนวนมากเคลื่อนย้ายโรงงานไปที่จีน
สื่อไต้หวันรายงานว่าในปี 2012 มีนักธุรกิจไต้หวันราว 2 ล้านคนกำลังทำธุรกิจในจีน
ในจำนวนนี้ราว 8 แสนคนทำงานและอาศัยที่เมืองเซี่ยงไฮ้
รัฐบาลไต้หวันจึงไม่เสี่ยงให้ประชาชนของตนประท้วงรัฐบาลตนเอง จะรวมชาติหรือไม่นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง
เรื่องที่ความสำคัญกว่าคือไม่กระทบต่อการค้าการลงทุน แม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้าน DPP
ที่แสดงท่าทีต่อต้านนโยบายรวมชาติ
ประการที่ 2 สิ่งที่คนไต้หวันต้องการ
ย้อนหลัง
30-40 ปี รัฐบาลไต้หวันยังปลูกฝังเยาวชนให้กลับไปกู้ชาติ หวังว่าสักวันหนึ่งจีนจะกลายเป็นประเทศหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองที่นำโดยรัฐบาลไต้หวัน
ความฝันนี้นับวันจะเลือนราง ที่สำคัญคือขัดแย้งกับความต้องการของคนไต้หวันที่มุ่งสนใจเรื่องปากท้องมากกว่าทุกสิ่ง
หวังใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี ล้อมรอบด้วยความสุขจากวัตถุ
คนไต้หวันต้องการให้
2 ฝ่ายมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ดีต่อกัน
การเมืองระหว่างประเทศสนับสนุนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
กังวลว่าหากรวมประเทศหรือเป็น “1 ประเทศ 2 ระบบ”
พวกเขายังจะสามารถดำเนินชีวิตมีความสุขดังเดิมหรือไม่
ถ้าพูดจากมุมคนไต้หวัน
พวกเขาหวังว่าความสัมพันธ์ 2 ฝ่ายอยู่ในกรอบดังกล่าว นักการเมืองไต้หวันอาศัยเรื่องนี้โจมตีอีกฝ่าย
ดึงประชาชนให้สนับสนุนตน
ประการที่ 3 ผลประโยชน์ของจีน
ในปี 1992 รัฐบาลจีนประกาศนโยบาย “1 ประเทศ 2 ระบบ” (one country, two
systems) ยอมให้ไต้หวันรวมชาติกับจีน ด้วยการที่ไต้หวันมีระบบการเมืองการปกครองของตนเอง
(ทำนองคล้ายฮ่องกง)
นับเป็นนโยบายที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม ยอมให้ไต้หวันปกครองตนเองในระดับหนึ่ง
ผลประโยชน์ใหญ่หลวงที่ได้คือท่าทีของจีนต่อการลดความขัดแย้งเรื่องรวมชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันจะเป็นกรณีตัวอย่างที่ประชาคมโลกกำลังเฝ้าจับตาว่าจะจีนจะใช้กำลังเพื่อหักเอาไต้หวันกลับคืนหรือไม่
หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนไม่ได้ทำเช่นนั้นเนื่องจากไต้หวันไม่ล่วงล้ำเส้นต้องห้าม ไม่ประกาศเป็นรัฐอธิปไตย
ขอเพียงไต้หวันไม่ล่วงล้ำเส้นต้องห้าม
ฐานะของจีนในเวทีโลกจะโดดเด่น ลดการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ
การพบปะของ 2 ผู้นำแม้จะยังห่างไกลจากการรวมประเทศ
แต่ได้แสดงอีกครั้งให้เห็นว่าที่สุดแล้ว ปัญหาสงครามกลางเมืองจะต้องแก้ไขด้วยการเจรจา
ความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ
รัฐบาลจีนได้แสดงอีกครั้งว่ายืนยันจุดยืนเช่นนี้
ข้อเสนอทางออก :
ท่าทีของพรรค Democratic Progressive Party
(DPP) แม้เห็นด้วยกับหลักการจีนเดียว แต่ต่างกันในรายละเอียด
คุณไช่ อิงเหวิน (Tsai Ing-wen) ผู้นำพรรค
DPP และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน
เคยแสดงความเห็นว่าไต้หวันยังต้องการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป
ความสัมพันธ์กับจีนต้องเกื้อหนุนความมั่นคงและเสถียรภาพภูมิภาค
เป็นประโยชน์แก่ทั้ง 2 ฝ่ายจริงๆ
ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่าไช่
อิงเหวินจะชนะการเลือกตั้งในต้นปีหน้า (2016)
นั่นหมายความว่าเส้นทางการรวมประเทศจะ “ดูเหมือนถอยห่าง” ออกไปอีกระยะหนึ่ง
แต่ถ้าจะมององค์รวม
ไต้หวันควรยอมรับว่าไม่อาจกลับไปกู้ชาติได้อีกแล้ว
ประเด็นจึงอยู่ที่จะอยู่ร่วมกับจีนอย่างไร
ส่วนฝ่ายจีนควรมองว่าลำพังไต้หวันไม่เป็นภัยคุกคามทางทหาร
ถ้าจะเป็นก็เนื่องจากสามารถดึงสหรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่โอกาสที่จะดึงสหรัฐเข้ามาพัวพันกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตนับวันจะลดน้อยลง
เนื่องจากคนไต้หวันสนใจเรื่องทำมาหากิน
ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากกว่าการเรื่องกู้ชาติ
รัฐบาลจีนเป็นฝ่ายย้ำเตือนประชาคมโลกอยู่เสมอว่าจีนในยุคโลกาภิวัตน์ต้องการเป็นมิตรกับทุกประเทศ
เพราะหากนานาชาติคว่ำบาตร ไม่ลงทุน ไม่ค้าขายกับจีนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่
หากจีนต้องการรุกคืบ การขยายการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ
น่าจะเป็นแนวทางที่ได้ประโยชน์มากกว่า ดูนุ่มนวลละมุนละไมมากกว่า และกำลังมุ่งสู่ทางทิศนี้
เศรษฐกิจ 2 ประเทศนับวันจะผูกพันเชื่อมโยง ไม่ว่า DPP
จะมองว่าเป็นภัยคุกคามหรือไม่ก็ตาม
ส่วนรัฐบาลสหรัฐถ้าจะหาเรื่องจีน
มีประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจกว่ามาก
ประเด็นความมั่นคงของไต้หวันกลายเป็นประเด็นรองเมื่อเทียบกับทะเลจีนใต้ที่กว้างใหญ่
มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าหลายเท่า
ดังที่เคยนำเสนอแล้วว่า
“เป็นเวลา 66
ปีแล้วนับจากฝ่ายชาตินิยมถอยร่นมาปักหลักที่เกาะไต้หวัน ณ วันนี้
ผลจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ยังเป็นมรดกตกทอดจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน เรื่องความแตกต่างทางการเมืองการปกครองยังเป็นประเด็นที่ต้องถกกันต่อไป
ทางออกที่ดีอาจเป็นการปล่อยให้คนรุ่นหลานรุ่นเหลนในอนาคตเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย
เมื่อถึงเวลานั้นการตัดสินใจอาจเป็นเรื่องง่าย เพราะอยู่ภายใต้บริบทที่เอื้ออำนวย
คนไต้หวันกับคนจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ใช่ใครอื่นไกล ตามหลักรัฐชาติ (Nation-state) สมัยใหม่ถือว่าคนชาติ (nation) เดียวกัน
การรวมตัวแล้วแยกออก การแยกออกแล้วรวมตัวกันใหม่
เป็นเรื่องปกติของความเป็นไปในโลกนี้”
สัญญาณการรวมตัวกำลังเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
คนไต้หวันนับล้านที่ไปทำงานลงทุนในประเทศจีนซื้อบ้านใกล้กับโรงงานของพวกเขา
บางคนแต่งงานกับคนจีนแผ่นดินใหญ่มีลูกมีหลาน นี่คือการรวม 2
ประเทศที่กำลังเกิดขึ้นจริง
ตรงกับที่ประธานาธิบดีหม่าพูดต่อหน้าประธานาธิบดีสีเปรียบเปรยความสัมพันธ์ 2 ฝ่ายว่า “เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ”
การพบปะระหว่าง 2
ผู้นำครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากฝ่ายต่อต้าน บางคนเห็นว่าประธานาธิบดีหม่าทำเพื่อให้ชื่อตัวเองถูกจารึกในประวัติศาสตร์เท่านั้น
ซึ่งท่านก็ยอมรับว่าจะเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
เป็นความสำเร็จที่ผ่านปูทางไว้ถึง 7 ปี
อันที่จริงท่านหวังว่าจะพบผู้นำจีนตั้งแต่การประชุมเอเปกเมื่อปี 2013
ไม่ว่าประธานาธิบดีหม่าจะมีเป้าหมายกี่ประการ
การพบปะของ 2 ผู้นำเป็นอีกขั้นของการสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ไม่ว่าจะได้รวมประเทศหรือไม่ก็ตาม นี่คือประโยชน์ที่ได้
คือสิ่งที่ผู้นำควรทำมิใช่หรือ
และโลกจะจับตามองว่าจีนจะสร้างอนาคตที่สวยงามแก่ชนรุ่นหลังดังคำที่พูดต่อหน้าประธานาธิบดีหม่าหรือไม่
8 พฤศจิกายน 2015
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 6941 วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2558)
-----------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
เป็นครั้งแรกใน 65
ปีที่เจ้าหน้าที่รัฐไต้หวันกับเจ้าหน้าที่รัฐจีนได้ประชุมหารืออย่างเป็นทางการ
หลังจาก 2 ฝ่ายได้กระชับความสัมพันธ์ในหลายปีที่ผ่านมา ประเด็นถกเถียงลึกๆ
ยังเป็นเรื่องการรวมชาติ แต่เรื่องเฉพาะหน้าที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ
ที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์มาโดยตลอด
และเห็นว่าควรกระชับความสัมพันธ์ให้มากขึ้นกว่านี้
แม้ว่าไต้หวันจะเป็นผู้ออกหน้าก็ตาม
บรรณานุกรม:
1. Chiao, Yuan-Ming. (2015, November 6). Ma touts meeting as
"bridge building” for his successor. The China Post. Retrieved from
http://www.chinapost.com.tw/taiwan/china-taiwan-relations/ bottom 2015/11/06/450228/Ma-touts.htm
2. China's line. (2015, March 17). The Economist.
Retrieved from
http://www.economist.com/news/china/21646571-chinese-leaders-send-warnings-taiwans-opposition-party-ahead-elections-next-year-chinas-bottom
3. Cross-Strait affairs chiefs hold first formal meeting.
(2014, February 11). People’s Daily/Xinhua. Retrieved from http://english.peopledaily.com.cn/90785/8533026.html
4. Hsiao, Alison. (2015, November 6). MA-XI MEETING: DPP
opposition to Ma-Xi exchange ‘inappropriate’. Taipei Times. Retrieved
from http://www.taipeitimes.com/News/taiwan/archives/2015/11/06/2003631817
5. Shirk, Susan L. (2007). China: Fragile Superpower: How
China's Internal Politics Could Derail Its Peaceful Rise. New York: Oxford
University Press.
6. President Xi to meet Taiwan leader in Singapore. (2015,
November 4). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/2015-11/04/c_134780926.htm
7. Pu, Zhendong., & Zhao, Shengnan. (2014, February 11).
Meeting heralds 'new model' for cross-Straits talk. China Daily.
Retrieved from http://www.chinadaily.com.cn/china/2014-02/11/content_17276099.htm
8. Ramzy, Austin. (2015, November 7). Presidents of China
and Taiwan Shake Hands in First Ever Meeting. The New York Times.
Retrieved from http://www.nytimes.com/2015/11/08/world/asia/presidents-china-taiwan-meet-shake-hands-singapore.html?_r=0
9. Wang, Jenn-hwan (2006). Sovereignty, survival, and the
transformation of the Taiwan state. In State Making in Asia.
(pp.94-112). Oxon: Routledge.
10. Zhang, Qingmin. (2011). China’s Diplomacy. Singapore:
Cengage Learning Asia.
---------------------