คนต่างด้าวอพยพ Migrant กับ Immigrant
สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรปคือผู้อพยพหลายแสนคนกำลังเดินทางเพื่อขอลี้ภัยหรือต้องการหางานทำ
คนเหล่านี้มาจากหลากหลายที่ทั้งคนแอฟริกาจากหลายประเทศในทวีปแอฟริกา
(ไม่เฉพาะลิเบีย) คนจากยุโรปตะวันออก คนจากภูมิภาคตะวันออกกลาง เอเชีย เช่น ชาวซีเรีย
อัฟกานิสถาน คนเหล่านี้มาด้วยเหตุผลที่เหมือนและแตกต่างกัน รัฐบาลในหมู่ประเทศอียูไม่อาจปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยสงครามดังเช่นปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าว
ผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงนโยบายของแต่ละประเทศต่อผู้อพยพเหล่านี้ การทำความเข้าใจต้องเริ่มจากสามารถจำแนกแยกแยะคนเหล่านี้ก่อน
Migrant :
ไม่มีนิยามที่ตรงกัน โดยทั่วไป Migrant หมายถึง
คนต่างด้าว คนต่างสัญชาติที่อพยพย้ายถิ่นไปยังอีกประเทศหนึ่ง
คนเหล่านี้ไม่ใช่นักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจที่ไปอยู่ต่างประเทศในช่วงระยะเวลาไม่นาน
คนต่างด้าวอพยพต้องการอยู่ระยะยาว สหประชาชาตินิยามว่าอยู่นานกว่า 1 ปี
อาจถาวรหรือไม่ถาวร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด จะได้เป็นผู้ลี้ภัยในประเทศที่ 3
หรือถูกส่งตัวกลับ หลายคนมาไม่ใช่เพราะเผชิญสงครามกลางเมืองแต่เพื่อหางานทำเป็นแรงงานต่างด้าว
ปัจจุบันการย้ายถิ่นมีมากขึ้น
ทั้งย้ายเข้าและออก คนจากประเทศที่พัฒนาแล้วย้ายไปอยู่ประเทศกำลังพัฒนาเช่นกัน
เช่น ไปด้วยเหตุผลเรื่องหน้าที่การงาน หวังใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง
บ่อยครั้งคำๆ นี้ถูกใช้ในความหมายเดียวกับคนต่างด้าวย้ายถิ่น (Immigrant) ผู้ขอลี้ภัย (Asylum) ในขณะที่บางคนใช้แยกกันเพราะต้องการเจาะจงความหมายระหว่างแรงงานต่างด้าวกับผู้ขอลี้ภัย
Immigrant :
คนต่างด้าวย้ายถิ่น (Immigrant) หมายถึง
คนต่างชาติที่ไปอีกประเทศเพื่อเป้าหมายบางอย่าง เช่น หนีภัยสงคราม หางานทำ
หรือเดินทางไปเพื่อรวมตัวกับญาติพี่น้องที่อยู่ก่อนแล้ว คนเหล่านี้ตั้งใจไปอยู่เป็นระยะเวลานาน
(ทั้งแบบถูกกฎหมายกับผิดกฎหมาย) จำนวนมากลงหลักปักฐานกลายเป็นพลเมืองในประเทศใหม่ ในขณะที่อีกส่วนคาดหวังจะกลับประเทศบ้านเกิดในอนาคต
บางคนเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่าง 2 ประเทศ ส่วนแรงงานต่างด้าวต้องกลับประเทศเมื่อวีซาหมดอายุ
ความแตกต่างระหว่าง
Migrant กับ Immigrant คือ Immigrant มุ่งปักหลักในถิ่นฐานใหม่อย่างถาวร
อย่างไรก็ตามบางคนใช้ 2 คำนี้ในความหมายเดียวกัน เช่น คนต่างด้าวย้ายถิ่นอาจเดินทางไปมา
2 ประเทศ มีที่อาศัยทั้ง 2 ประเทศ
คนต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง
(undocumented immigrants)
หมายถึงคนต่างด้าวย้ายถิ่นที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย
รวมทั้งพวกที่วีซาหมดอายุ เป็นปัญหาแก่หลายประเทศที่เป็นจุดหมายของคนเหล่านี้ และมักเป็นเหยื่อของพวกอาชญากร
เกร็ดประวัติศาสตร์การอพยพย้ายถิ่น :
แต่ไหนแต่ไรมนุษย์ย้ายถิ่นเพื่อหนีภัย
หนีความแห้งแล้งหรือหนาวเหน็บ อาจหมายถึงการแสวงหาพื้นที่ใหม่สำหรับสร้างชุมชนใหม่
ก่อตั้งประเทศ อเมริกาคือตัวอย่างประเทศที่คนยุโรปและอีกหลายประเทศย้ายเข้าไปเพื่อสร้างเมืองใหม่และกลายเป็นประเทศใหม่ในที่สุด
การเคลื่อนย้ายทาสในยุคค้าทาส
ล่าอาณานิคม นักวิชาการบางคนจัดว่าพวกทาสเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นเช่นกัน
ในยุคปัจจุบันการอพยพย้ายถิ่นหมายถึงการไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง
ที่มีรัฐบาลมีเจ้าของประเทศอยู่แล้ว สถานภาพคือการเป็นคนต่างด้าวย้ายถิ่นหรือเป็นผู้ลี้ภัย
มักเกิดจากเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง รองมาคือเรื่องความปลอดภัยในชีวิต เสรีภาพในการนับถือศาสนา
หลายคนคุ้นชินพวกแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศ
คนที่เข้ามาด้วยเหตุผลเรื่องงานจะใช้วิธีเปรียบเทียบอัตราค่าแรงกับโอกาสที่จะได้งานทำ
ดังนั้น ประเทศที่เศรษฐกิจดี ประเทศที่พัฒนาแล้วจึงเป็นจุดหมายของแรงงานต่างด้าว อย่างไรก็ตามบางประเทศอาจต้องการแรงงานไร้ฝีมือ
แต่มิได้ต้องการให้แรงงานเหล่านี้อาศัยในประเทศอย่างถาวร
ดังนั้น
เมื่อพูดถึงคนต่างด้าวอพยพย้ายถิ่นในหลายบางกรณีจึงเป็นความสมัครใจ เป็นประโยชน์ด้วยกันทั้ง
2 ฝ่าย เกิดขึ้นในยามปกติ (เช่น กรณีแรงงานต่างด้าว) ไม่จำต้องเป็นเรื่องการหนีภัยสงครามหรือภัยอื่นๆ
ในขณะที่บางกรณีหมายถึงรุกรานยึดครอง เช่นกรณีอเมริกา แต่เลี่ยงใช้คำว่าอพยพย้ายถิ่นแทนคำว่ารุกรานคนท้องถิ่นดั้งเดิม
ประวัติศาสตร์คนต่างด้าวย้ายถิ่นอเมริกา :
Rachel
Cortes กับ Dudley Poston Jr. ให้ข้อมูลว่า
ถ้ามองว่าคนอินเดียแดงกับชาวอลาสกาท้องถิ่นคือเจ้าของประเทศดั้งเดิม ตามสถิติปี
2000 ประชากรร้อยละ 98 ของอเมริกาจะเป็นคนต่างด้าวย้ายถิ่น (Immigrant) หรือลูกหลานของพวกเขา คนอินเดียแดงกับชาวอลาสกาดั้งเดิมมีเพียง 4.3
ล้านคนหรือราวร้อยละ 1.5 เท่านั้น คนเหล่านี้อาศัยในพื้นที่ตั้งแต่เมื่อ 40,000
ปีก่อน
คนอังกฤษกลุ่มแรกมาตั้งถิ่นฐานที่เมือง
Jamestown รัฐเวอร์จิเนียเมื่อปีค.ศ.1607
ทำมาหากินด้วยการปลูกยาสูบ และเนื่องจากเป็นงานที่ต้องอาศัยแรงงานมากจึงเป็นแรงผลักดันต้องการแรงงานทาส
ทาสแอฟริกาคนแรกที่ซื้อขายในอเมริกาเกิดขึ้นที่เมือง Jamestown นี้เองเมื่อปี 1619 ในช่วงนี้การใช้ทาสแอฟริกายังน้อย
เนื่องจากสามารถใช้พวกอินเดียแดงกับคนผิวขาวต่างด้าวที่เข้ามาเป็นแรงงาน
แต่นับจากปี 1690 เป็นต้นมาทาสแอฟริกาเริ่มเป็นแรงงานหลัก และด้วยแรงงานทาสแอฟริกานี้เองทำให้อเมริกาในยุคบุกเบิกสามารถครองตลาดโลก
และแม้ว่ารัฐบาลยกเลิกการค้าทาสในปี 1807
แต่ทาสยังคงดำรงอยู่ในประเทศต่อไปอีกเกือบ 6 ทศวรรษ จนกระทั่งสิ้นสงครามกลางเมือง
(Civil War: 1861–1865)
คนฟิลิปปินส์คือชาวเอเชียกลุ่มแรกๆ ที่ย้ายถิ่นมาอเมริกาตั้งแต่ปีค.ศ.
1763 คนเหล่านี้เป็นกะลาสีเรือ ตั้งชุมชนของตนเองที่ Louisiana (ปัจจุบันยังคงอยู่)
ชาวจีนเป็นอีกกลุ่มที่เข้ามามากในยุคตื่นทอง (California Gold Rush) เมื่อปลายทศวรรษ 1840 มีชาวจีนราว 288,000 คนในอเมริกาในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งเดินทางกลับจีนหลังสิ้นยุคตื่นทอง
การเข้ามาของคนจีนกดดันค่าแรงของคนอเมริกันเพราะคนจีนไม่เลือกงาน ส่งผลต่อการเมืองสังคมภายในประเทศ
จึงเกิดกฎหมายไม่รับคนจีนเข้าทำงาน และห้ามคนจีนย้ายถิ่นฐานเข้าอเมริกา
กฎหมายเหล่านี้ยกในปี 1943 เมื่อจีนเป็นพันธมิตรสหรัฐในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
พวกผิวดำที่ย้ายถิ่นเข้าอเมริกาไม่ใช่พวกนิโกรจากแอฟริกาในยุคค้าทาสเท่านั้น
(ถ้าเรียกคนกลุ่มนี้ว่าคนต่างด้าวเข้าเมือง) คนผิวดำย้ายเข้าอเมริกาหลายช่วง
บางส่วนมาจากประเทศแถบคาริเบียน ลาตินอเมริกาและจากแอฟริกาหลังยุคอาณานิคม
ในยุคชาตินิยมหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่
2 คนผิวดำจำนวนมากหนีสงครามกลางเมืองเข้ามาในอเมริกา เช่น จากไนจีเรีย กานา กาบูเวร์ดี
(Cabo Verde) เอธิโอเปีย เอริเทรีย (Eritrea) โซมาเลียและซูดาน
ตั้งแต่ปี 1965
เป็นต้นมา คนผิวดำที่ย้ายเข้ามาส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจากประเทศในแถบคาริเบียน
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติบ่งชี้ว่าคนผิวดำที่อพยพเข้ามาทีหลังมีฐานะเศรษฐกิจดีกว่าพวกผิวดำที่มาตั้งแต่สมัยค้าทาส
ทั้งๆ ที่คนกลุ่มหลังพูดภาษอังกฤษสู้กลุ่มที่มาอยู่ก่อนไม่ได้ คนลาตินอเมริกาปัจจุบันส่วนใหญ่ย้ายถิ่นเข้าอเมริกาด้วยเหตุผลเศรษฐกิจเป็นหลัก
ต้องการงานทำ มีรายได้มากขึ้น ส่วนผู้ประกอบการในอเมริกาต้องการแรงงานราคาถูก จึงตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกัน
ท่ามกลางแรงต้านของบางกลุ่มที่เห็นว่าแรงงานต่างด้าวกดค่าแรงของคนอเมริกัน
ภาษีส่วนหนึ่งใช้กับคนเหล่านี้ ส่วนผู้ที่สนับสนุนเห็นว่าระบบเศรษฐกิจจำต้องมีแรงงานจำพวกนี้
เร่งให้เศรษฐกิจเดินหน้า
นับจากปี 2005
เป็นต้นมา ชาวเม็กซิโกเป็นคนต่างด้าวกลุ่มใหญ่ที่ย้ายถิ่นเข้ามาทำงานในอเมริกา
คือคิดเป็นราวร้อยละ 30 ของจำนวนคนต่างด้าวย้ายถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าชาวอเมริกันจะคิดเห็นอย่างไร
คนเม็กซิโกเป็นแรงงานสำคัญเสมอมา ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great
Depression) รัฐบาลสหรัฐขับไล่แรงงานเม็กซิโกออกจากประเทศราว
500,000 คนและอีก 200,000 คนที่สมัครใจกลับประเทศ ต่อมาเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่
2 รัฐบาลสหรัฐกับเม็กซิโกมีข้อตกลงส่งแรงงานเข้าอเมริกาตามโครงการที่ชื่อว่า Bracero
นโยบายรับหรือผลักดันคนต่างด้าวออกออกจึงขึ้นกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
คนต่างด้าวอพยพ
(Migrant) ต่างจากคนต่างด้าวย้ายถิ่น (Immigrant) ตรงที่คำหลังให้ความหมายเชิงการย้ายถิ่นถาวรมากกว่า ทั้ง 2 คำไม่เน้นเหตุผลของการย้ายถิ่น
คำว่าผู้ขอลี้ภัย (Asylum) คือคนต่างด้าว ต่างสัญชาติที่แจ้งความจำนงต่อรัฐบาลขอเป็นผู้ลี้ภัย
ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง เช่น ถูกกดขี่ข่มเหง หนีภัยสงคราม
ส่วนผู้ลี้ภัย
(Refugees) หมายถึง ผู้ขอลี้ภัยที่ได้รับอนุญาตแล้ว ดังนั้น คนต่างด้าวอพยพหรือคนต่างด้าวย้ายถิ่นบางคนอาจกลายเป็นผู้ลี้ภัยในที่สุด
ถ้ารัฐบาลประเทศปลายทางยอมรับการลี้ภัยของเขา
การอพยพย้ายถิ่น
เป็นแรงงานต่างด้าว เป็นผู้ลี้ภัย เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
หลายประเทศรับคนเหล่านี้เป็นประจำทุกปี กลุ่มประเทศอียูเป็นอีกกลุ่มที่รับผู้ลี้ภัยทุกปี
มีแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศทุกปีทั้งแบบถูกกฎหมายผิดกฎหมาย ดังนั้น
รัฐที่รับคนเหล่านี้จึงมีระบบมีกลไกรับมืออยู่แล้ว
เพียงแต่ในระยะนี้มีผู้อพยพเข้ามาจำนวนมากกว่าปกติ เกิดเหตุการณ์อันกลายเป็นข่าว
กลายเป็นที่สนใจที่วิพากษ์อย่างกว้างขวาง
การอพยพเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากเกิดขึ้นเสมอในทุกยุคทุกสมัยของประวัติศาสตร์
เหตุผลรวบยอดสรุปได้เพียงคำเดียวว่า “เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ในการนี้รวมถึงการรุกรานแย่งดินแดน
เช่น กรณีก่อตั้งประเทศอเมริกาที่นักวิชาการบางคนพยายามอธิบายว่าคือการแปลงคนต่างด้าวย้ายถิ่นหรือลูกหลานของพวกเขาเป็นพลเมือง
(citizen) การนำคนต่างชาติมาเป็นทาส
(บังคับให้คนต่างด้าวย้ายถิ่น) บริบทปัจจุบันแตกต่างจากสมัยก่อนตรงที่พื้นที่มีเจ้าของหมดแล้ว
จึงเกิดผู้เข้าเมืองถูกกฎหมายกับผิดกฎหมาย ผู้เข้ามาต้องขออนุญาตเพื่อเป็นผู้ลี้ภัย
เป็นแรงงานต่างด้าว
20 กันยายน 2015
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 19 ฉบับที่ 6892 วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ.2558, http://www.ryt9.com/s/tpd/2255023)
------------------------
บรรณานุกรม:
1. Anderson, Bridget., & Blinder, Scott. (2015, August
25). Who Counts as a Migrant? Definitions and their Consequences. The
Migration Observatory. Retrieved from
http://www.migrationobservatory.ox.ac.uk/sites/files/migobs/Briefing%20-%20Who%20Counts%20as%20a%20Migrant.pdf
2. Cortes, Rachel Traut., & Poston, Dudley L. Jr. (2008).
Immigration to North America. In International Encyclopedia of the Social
Sciences. (2nd Ed. (9 vol. set. pp. 576-580). USA: The Gale
Group.
3. Düvell, Franck. (2008). Immigration. In Encyclopedia
of Social Problems. (2 Vol Set, pp. 477-478). USA: SAGE Publications.
4. Hein, Jeremy. (2008). Refugee. In International
Encyclopedia of the Social Sciences. (2nd Ed. (9 vol. set.
pp.125-127). USA: The Gale Group.
5. Parrillo, Vincent N. (2008). Undocumented immigrants, United
States. In Encyclopedia of Social Problems. (2 Vol Set, pp. 972-974). USA: SAGE
Publications.
6. Rivas-Rodriguez, Maggie. (2008). Immigrants, Latin
American. In International Encyclopedia of the Social Sciences. (2nd
Ed. (9 vol. set. pp. 570-572). USA: The Gale Group.
7. Shan, Hongxia. (2008). Immigration. In International
Encyclopedia of the Social Sciences. (2nd Ed. (9 vol. set. pp. 581-583).
USA: The Gale Group.)
--------------------------------