ปฏิบัติการกำจัดประธานาธิบดีปูตินของสหรัฐ
มาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐกับพันธมิตรดำเนินการอยู่น่าจะมีเป้าหมายหลัก
3 ระดับ ระดับแรกคือระดับประเทศ เป็นการบ่อนทำลายประเทศรัสเซียโดยตรง ระดับที่ 2
คือ ระดับรวมพันธมิตรรัสเซีย เช่น BRICS จีน อิหร่าน ซีเรีย
ฯลฯ และระดับที่ 3 คือ การบ่อนทำลายตัวประธานาธิบดีปูตินโดยตรง
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการเมืองจากสหรัฐกับพันธมิตรส่งผลต่อทั้ง
3 ระดับ ระดับรวมพันธมิตรรัสเซียน่าจะเป็นเพียงผลพลอยได้ จึงเหลือเพียง 2 ระดับ จาการวิเคราะห์
มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะมุ่งต่อตัวประธานาธิบดีปูตินโดยตรง หวังทำลายคะแนนนิยม
เนื่องจากระบบการเมืองรัสเซียปัจจุบันกลุ่มอำนาจเชื่อมโยงกันทั้งหมด การบั่นทอนประธานาธิบดีปูตินคือบั่นทอนฐานอำนาจ
หวังว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียครั้งหน้าในเดือนมีนาคม 2018
รัสเซียจะได้ประธานาธิบดีคนใหม่ เป็นแผนจัดการประเทศคู่แข่งด้วยการกำจัดผู้นำประเทศนั้น
ตามหลักการเรื่องกำจัดผู้นำ
หากผู้นำสิ้นอำนาจ ผู้ติดตามย่อมกระจัดกระจาย หากหัวหน้าครอบครัวมีอันเป็นไปหรือไม่สามารถทำหน้าที่ย่อมสะเทือนทั้งครอบครัว
เหมือนกรณีการลอบสังหารยัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำปาเลสไตน์
เพื่อบั่นทอนขบวนการต่อสู้ปลดปล่อยปาเลสไตน์ ความพยายามที่จะลอบสังหารฮิตเลอร์เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่
2 กลยุทธ์การกำจัดผู้นำเป็นวิธีที่ใช้เสมอมา
เป็นความคิดที่เชื่อว่าหากผู้นำรัสเซียในอนาคตไม่ใช่วลาดีมีร์
ปูติน รัสเซียจะอ่อนแอ ภัยคุกคามต่อสหรัฐกับพันธมิตรจะลดลงโดยปริยาย
ภายใต้สมมติฐานนี้
การทำลายเศรษฐกิจรัสเซียเป็นเพียงแผนขั้นต้นก่อนลงมือขั้นต่อไป
เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย รัสเซียวกฤต
:
เมื่อมิคาอิล
กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตเมื่อปี
1990 ท่านมาพร้อมกับแนวคิดประชาธิปไตย “demokratizatsiya” โดยสอดแทรกผ่านแนวคิดการปฏิรูป
“perestroika”
หวังว่าแนวทางเหล่านี้จะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเมืองที่สะสมหมักหมมมาอย่างยาวนาน
ผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่คิด
เศรษฐกิจปั่นป่วน รายได้ของคนทำงานทั่วไปลดลง 1 ใน 3
ซึ่งหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ลดลง ยอดขายโทรทัศน์ ตู้เย็น นม เนื้อล้วนลดลง
รัสเซียมีพื้นที่กว้างใหญ่ ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลต้องดิ้นรนช่วยตัวเองในภาวะที่ทุกอย่างขาดแคลน
โรงงาน เหมือง สาธารณูปโภคถูกทิ้งร้าง ผู้ที่เคยพึ่งหวังความช่วยเหลือจากรัฐบัดนี้ต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดด้วยตนเอง
การปฏิรูปของกอร์บาชอฟกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่
การเมืองภายในประเทศปั่นป่วนอย่างหนัก ในที่สุดประเทศสหภาพโซเวียตกลายเป็นอดีต
รัสเซียเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) กลายเป็นผู้นำที่ประชาชนกลุ่มใหญ่ให้ความเชื่อถือ และขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย
ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตย
ประธานาธิบดีเยลต์ซินเห็นว่าการปฏิรูปแบบครึ่งๆ
กลางๆ ของกอร์บาชอฟไม่ได้ผล ต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการปฏิรูปอย่างจริงจัง
ด้วยการยกเลิกระบอบเก่าทันทีและใช้ระบอบทุนนิยมอย่างเต็มที่ แต่รัสเซียในขณะนั้นไม่มีความพร้อมในทุกด้าน
เช่น ระบบศาลยุติธรรมยังไม่มีกฎหมายการค้าการลงทุนภายใต้ระบอบทุนนิยม
ผู้จัดการโรงงานเดิมผลิตตามคำสั่งรัฐ มาบัดนี้ต้องตัดสินใจเองว่าควรจะผลิตอะไร แต่ไม่สามารถหาคำตอบว่าตลาดต้องการอะไร
อย่างไร
ผลลัพธ์คือรัสเซียตกอยู่ในความวุ่นวายปั่นป่วนหนักกว่าเดิม
ราคาข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สินค้าอุปโภคบริโภคประจำวันบางอย่างขาดแคลน
คนต้องเข้าคิวซื้อหลายชั่วโมง อัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 2,600 ผู้ที่เลี้ยงชีพด้วยบำเหน็จบำนาญลำบากมากสุด
การเปิดตลาดเสรีทำให้สินค้าเกษตรต่างประเทศไหลทะลักเข้ามา
ราคาสินค้าเกษตรที่ผลิตภายในประเทศหลายรายการราคาลดต่ำกว่าครึ่งจากที่เคย
ในขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เช่นเดียวกับสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม
ผลลัพธ์คือเกษตรกรยากจนกว่าเดิม
ช่องว่างฐานะระหว่างคนชนบทกับคนเมืองถ่างกว้างมากขึ้นทุกที
มีข้อมูลว่าในทศวรรษ 1990 อายุขัยเฉลี่ยของผู้ชายลดจาก 63.8 เหลือ 58 ปี จำนวนประชากรลดลงเนื่องจากอัตราตายมากกว่าอัตราเกิด
มีข้อมูลว่าในทศวรรษ 1990 อายุขัยเฉลี่ยของผู้ชายลดจาก 63.8 เหลือ 58 ปี จำนวนประชากรลดลงเนื่องจากอัตราตายมากกว่าอัตราเกิด
ประชาชนบางส่วนเริ่มไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูป
ไม่เห็นด้วยกับทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตก เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน
ประธานาธิบดีเยลต์ซินต้องเผชิญมรสุมการเมืองหลายรอบ แต่ยังสามารถชนะการเลือกตั้งหลังมีรัฐธรรมนูญใหม่อย่างหวุดหวิด
ถึงกระนั้นสุขภาพท่านทรุดโทรมอย่างหนัก ผู้ที่ต้องรับบทผู้นำบริหารประเทศคือนายกรัฐมนตรี
แต่ภายในปีเดียวต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ ถึง 5 ครั้ง คนที่ 5 คือนายวลาดีมีร์ ปูติน เข้าดำรงตำแหน่งนายกฯ
เมื่อปี 1999 และเป็นประธานาธิบดีรัสเซียคนที่ 2 ในปีถัดมา
รัสเซียในยุคปูติน :
ผู้เชี่ยวชาญบางคนโจมตีว่าประธานาธิบดีปูตินบริหารประเทศแบบอำนาจนิยม
ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การเมืองฝ่ายค้านไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือองค์กรภาคประชาชนเปรียบได้เพียงแค่ไม้ประดับทางการเมือง
ไม่มีผลต่อการเมืองอย่างจริงจัง นักการเมือง
ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นต่างต้องสังกัดพรรคที่ไม่แปลกแยกจากรัฐบาล
ด้านสื่อมวลชนดูเหมือนมีเสรีภาพ แต่สื่อที่นำเสนอเรื่องที่ขัดนโยบายรัฐ
ต่อต้านผู้นำประเทศจะอยู่ไม่ได้ เริ่มด้วยการถูกตักเตือน กดดันนายทุนเจ้าของสื่อ สื่อขายโฆษณาไม่ได้
นักข่าวบางคนถูกคุกคามถึงชีวิต Edward Lucas สรุปว่า
“คุณต้องเงียบ” ไม่ทำให้ผู้มีอำนาจระเคืองใจ มิฉะนั้นท่านจะถูกคุกคามจนกว่าจะเงียบ
ไม่มีใครปกป้องท่านได้
แต่ในด้านเศรษฐกิจ เศรษฐกิจรัสเซียดีขึ้นมาก คนว่างงานลดน้อยลงมาก
กรรมกรได้ค่าจ้างมากกว่าเดิมอย่างชัดเจน ผู้ที่รับบำเหน็จบำนาญ
สวัสดิการทางสังคมได้รับเงินตรงเวลา ประชาชนกลุ่มนี้เดิมเป็นฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยฝันอยากได้รัฐบาลสังคมนิยมคืนกลับมา
เมื่อถึงยุคปูตินพวกเขาเลิกล้มความตั้งใจดังกล่าว
โดยรวมแล้ว ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นมาก
ทั้งนี้เหตุผลสำคัญประการหนึ่งมาจากราคาน้ำมัน เมื่อปูตินรับตำแหน่งนายกฯ
สมัยแรก ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
รัฐได้กำไรจากน้ำมันเพียงน้อยนิด แต่ราคาน้ำมันที่ 100 ดอลลาร์คือราคาที่เพิ่มขึ้นถึง
6 เท่าตัว สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ และกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ มีผู้ประเมินว่าที่มาของงบประมาณในปัจจุบันกว่าร้อยละ
60 มาจากกำไรที่ได้จากการขายน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ
รายได้จากน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติกลายตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เป็นปัจจัยสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ไม่ต่างจากประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อื่นๆ
การถูกคว่ำบาตร และสถานการณ์ล่าสุด :
ข้อมูลล่าสุด การถูกคว่ำบาตรและราคาน้ำมันอ่อนตัว ทำให้ค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าราวร้อยละ
50 อัตราเงินเฟ้อเมื่อเดือนมกราคมอยู่ที่ร้อยละ 15 ยอดค้าปลีกลดลงมาก
มีผู้คาดว่าอาจต่ำสุดนับจากสิ้นสุดสหภาพโซเวียตเมื่อปี 1991 กระทรวงเศรษฐกิจ (Economy
Ministry) คาดว่าปี 2015 ค่าจ้างแท้จริง (real wage) จะลดลงมากกว่าร้อยละ 9 เทียบกับปกติที่จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี
กำลังซื้อที่ลดลงกระทบผลประกอบการของภาคเอกชน
กระทบเป็นวงจรต่อการจ้างงาน รายได้ของรัฐ การตกงานกลายเป็นเรื่องที่ลูกจ้างกังวลมากที่สุดในขณะนี้
นี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังถูกคว่ำบาตรอย่างหนักเพียงไม่กี่เดือน
น่าคิดว่าหากสถานการณ์ดำเนินต่อเนื่องอีก 2-3 ปี ผลจะเป็นอย่างไร
วิเคราะห์องค์รวม :
ประธานาธิบดีปูตินอาจไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ
รัสเซียไม่ใช่ทุนนิยมประชาธิปไตยอย่างชาติตะวันตก สังคมเต็มด้วยมาเฟีย
คนบางกลุ่มได้รับผลประโยชน์มากเป็นพิเศษจากประเทศฟื้นตัว แต่ไม่อาจปฏิเสธว่า โดยภาพรวมแล้วชีวิตความเป็นอยู่ของชาวรัสเซียในยุคปูตินดีที่สุดเมื่อเทียบกับหลายสิบปีที่ผ่านมา
รัสเซียในยุคปูตินกำลังฟื้นตัวตามลำดับ
ปูตินเริ่มเป็นผู้นำบริหารประเทศด้วยการเป็นนายกฯ สมัยแรกในปี 1999
และเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2000 จากนั้นครองอำนาจมาโดยตลอด ในช่วงปี 2008-2012
กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งหลังครบวาระเป็นประธานาธิบดี 2 สมัยซ้อน จากนั้นกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยเมื่อปี 2012 จนถึงปัจจุบัน
ประเด็นน่าคิดคือ
หากสถานการณ์ราบรื่น ท่านน่าจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปในปี 2018 (รัฐธรรมนูญปัจจุบันกำหนดให้ประธานาธิบดีมีวาระ
6 ปี สามารถดำรงตำแหน่ง 2 วาระติดต่อกัน) นั่นหมายความว่าท่านจะได้เป็นประธานาธิบดีถึงปี
2024 ด้วยวัย 72 ปี เป็นผู้ปกครองประเทศยาวนานถึง 1 ใน 4 ของศตวรรษ
ถ้านับจากวันนี้
ท่านจะเป็นผู้นำประเทศรัสเซียอีก 9 ปี (ภายใต้สมมติฐานว่าท่านวางมือจากการเมืองหลังวัย
72 ปี)
จากนี้อีก
9 ปี หากรัสเซียพัฒนาเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้มุมมองของรัฐบาลสหรัฐย่อมเห็นว่าเป็นภัยคุกคาม
ยิ่งหากคิดในกรอบที่กว้างขึ้น เช่น รัสเซียจับมือกับจีน รัสเซียกับกลุ่ม
BRICS หรือเห็นคล้อยกับความคิดของนักวิชาการบางท่านที่ชี้ว่า รัสเซียมีแนวโน้มเป็นอำนาจนิยมและจักรวรรดินิยม
เคยควบรวมอาณาจักรข้างเคียงมารวมเป็นประเทศเดียวกับตน ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐย่อมกังวลหากรัสเซียจะเข้มแข็งอีกครั้ง
ดังที่เคยอธิบายในบทความก่อนว่าแผนคว่ำบาตรรัสเซียในขณะนี้มีจุดอ่อน
มีข้อจำกัด ความพยายามของรัฐบาลโอบามาในขณะนี้อาจเป็นเพียงทดสอบ “ปฏิบัติการกำจัดปูติน”
ต้องการทดสอบวิธีการ ตรวจสอบการตอบสนองของชาวรัสเซีย
ก่อนนำแผนไปปรับปรุงและเตรียมการให้ดีกว่านี้
ถ้าหากสมมติฐานนี้ถูกต้อง ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับสหรัฐจะไม่จบในเร็ววัน
22 กุมภาพันธ์ 2015
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 19 ฉบับที่ 6682 วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558)
----------------------
เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง
พื้นที่ที่เป็นปัญหาในขณะนี้เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น เป็นไปได้ว่ารัฐบาลโอบามาเห็นว่าจำต้องให้ความช่วยเหลือกองทัพยูเครนล้อมกรอบฝ่ายต่อต้านต่อไปเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์บ่อนทำลายรัสเซีย
คาดว่าจะต้องดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ดัชนีราคาน้ำมันน่าจะเป็นตัวสะท้อนชี้ความขัดแย้งนี้
การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 5.5 เป็น
17 ปรับประมาณการเติบโตของจีดีพีจากบวกเป็นติดลบร้อยละ 5 เป็นเรื่องเหลือเชื่อ
สาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น สหรัฐกับอียูคว่ำบาตรรัสเซีย เศรษฐกิจอเมริกาฟื้นตัว
แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือราคาน้ำมันดิบโลกอ่อนตัว คืออ่อนตัวจากราคาปกติที่ระดับ
90 กว่าต่อดอลลาร์ต่อบาร์เรลมาเป็น 55 ดอลลาร์ต่อบาร์ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
ราคาน้ำมันที่อ่อนตัวในลักษณะเช่นนี้ยิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อ “ผิดปกติ”
เป็นต้นเหตุให้ค่าเงินรูเบิลอ่อนค่ารุนแรงในขณะนี้
3. ยูเครนวิกฤตรัสเซียสู้ไม่ถอย (Ookbee)
ยูเครนเป็นประเทศที่น้อยคนจะรู้จัก เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต
เริ่มเป็นรัฐอธิปไตยหลังสิ้นสุดสงครามเย็น ตั้งแต่ปลายปี 2013
เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่บานปลายจนรัสเซียส่งกองกำลังเข้ายึดไครเมีย และเกิดสงครามกลางเมืองขนาดย่อมในฝั่งตะวันออกของประเทศ
แต่ความสำคัญของสถานการณ์ยูเครนในขณะนี้คือการเผชิญหน้า
ความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจ 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือรัสเซีย อีกฝ่ายคือสหรัฐฯ
กับพันธมิตรอียู
การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจรุนแรงยืดเยื้อกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเนื่องจากรัฐบาลรัสเซียสู้ไม่ถอย
บรรณานุกรม :
บรรณานุกรม :
1. Andrianova, Anna. (2015, February 15).
Putin Lets Consumers Feel Pain as Russian Slump Deepens: Economy. Bloomberg.
Retrieved from
http://www.bloomberg.com/news/articles/2015-02-16/putin-lets-russian-consumers-feel-the-pain-as-economy-succumbs
2. Brown, Archie. (2004). Gorbachev, Mikhail Sergeyevich. In
Encyclopedia of Russian History. (4 vol. set, pp.577-583). USA: Macmillan
Reference USA.
3. Fakiolas, Efstathios T. (2012). International Politics
in Times of Change. Tzifakis, Nikolaos. (Ed.). Berlin: Springer-Verlag
Berlin Heidelberg.
4. Kenez, Peter. (2006). A History of the Soviet Union
from the Beginning to the End (2nd Ed.). New York: Cambridge University
Press.
5. Lucas, Edward. (2008). The New Cold War: Putin's
Russia and the Threat to the West. New York: Palgrave Macmillan.
6. Saunders, Doug. (2014, March 15). Crimea is serious, but
this is not a new Cold War. The Globe and Mail. Retrieved from
http://www.theglobeandmail.com/globe-debate/crimea-is-serious-but-this-not-a-new-cold-war/article17490293/?cmpid=rss1
---------------------------------