รูเบิลอ่อนค่า สัมพันธ์ตะวันตกตึงเครียด และการแก้เกมของปูติน (1)
ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา
นายวลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซีย
ได้แสดงสุนทรพจน์สำคัญทั้งในงานประชุมเอเปกเมื่อเดือนพฤศจิกายนและการประชุมประจำปีของรัฐสภาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
(Federal Assembly) ประจำปี 2014 เมื่อวันที่ 4
ธันวาคมที่ผ่านมา ทั้ง 2 สุนทรพจน์และในที่อื่นๆ สะท้อนปัญหาสำคัญและแนวทางแก้ไขของรัฐบาล
บทความนี้จะหยิบยกบางประเด็นที่เกี่ยวข้องนโยบายต่างประเทศ เริ่มจากปัญหายูเครนไครเมีย
ค่าเงินรูเบิล และความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ทั้ง 3 ประเด็นสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น
ปัญหายูเครนไครเมียที่ยังค้างคา :
2-3 เดือนที่ผ่านมาความขัดแย้งในยูเครนฝั่งตะวันออกค่อยบรรเทาลง
ในขณะนี้เหลือเพียงการปะทะเพียงประปราย สถานการณ์โดยทั่วไปสงบเรียบร้อย ประชาชนยูเครนตะวันออกที่ต้องการแยกตัวสามารถตกลงกับรัฐบาลได้ระดับหนึ่ง
พร้อมกับที่รัสเซีย ยูเครนและอียูลงนามข้อตกลงซื้อขายก๊าซฉบับใหม่เป็นที่เรียบร้อย
เป็นสัญญาณที่ดีว่ายูเครนกำลังเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
ท่ามกลางสถานการณ์โดยรวมที่ดีขึ้นแต่รากปัญหายังคงอยู่
คาดว่าการเจรจายังไม่บรรลุข้อตกลงสุดท้าย รัสเซียกับฝ่ายสหรัฐและพันธมิตรยังคงเผชิญหน้ากดดันซึ่งกันและกัน
ประธานาธิบดีปูตินยืนยันความชอบธรรมในการผนวกสาธารณรัฐไครเมีย (Republic
of Crimea) เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย เอ่ยถึงประวัติศาสตร์ความผูกพันว่าไครเมียเดิมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
ในสมัยโบราณเมืองนี้ชื่อว่า Chersonesus หรือ Korsun เป็นสถานที่ Grand Prince Vladimir
ได้บัพติศมาก่อนนำศาสนาคริสต์สู่รัสเซีย ชาวไครเมียมีภาษาวัฒนธรรมเหมือนรัสเซีย
ถ้าย้อนกลับไปที่เดือนมีนาคม
ในตอนนั้นประธานาธิบดีปูตินอ้างว่าจำต้องปกป้องฐานทัพรัสเซียในไครเมีย และ
“มีมือปืนจากองค์กรชาตินิยมเดินทางเข้ามาในไครเมีย” เราจึงต้องดำเนินการ และ
“เราได้ดำเนินการอย่างถูกต้องและทันเวลา” เพื่อปกป้องคนท้องถิ่นที่พูดรัสเซีย
เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากได้รับการร้องขออย่างเป็นทางการจากนายวิคเตอร์
ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) ประธานาธิบดีในขณะนั้น
ข้อวิพากษ์คือ การอ้างเรื่องความปลอดภัยของคนท้องถิ่นในเขตไครเมียไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจน
บัดนี้ปรากฏข้อเท็จจริงแล้วว่าเป้าหมายที่รัฐบาลปูติต้องการคือยึดครองไครเมีย
ประธานาธิบดีปูตินพยายามอ้างความชอบธรรมด้วยการใช้เหตุผลความใกล้ชิดทางประวัติศาสตร์
แต่หากทุกประเทศต่างอ้างประวัติศาสตร์ในอดีตและพยายามยึดครองดินแดน
โลกจะเต็มด้วยไฟสงครามอย่างไม่จบสิ้น
เพราะต่างก็จะอ้างประวัติศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง หลายประเทศจะต้องสิ้นชาติเพราะเป็นประเทศเกิดใหม่
ดินแดนที่ตั้งอยู่ ณ ปัจจุบันเป็นดินแดนของอาณาจักรโบราณอื่นๆ
นักวิชาการบางคนเกรงว่าหากไม่ตอบโต้เท่ากับเป็นการยอมรับว่ารัสเซียสามารถยึดและผนวกดินแดนของประเทศอื่นๆ
โดยอ้างว่าความชอบธรรมด้านประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ และจะทำให้ประเทศอื่นๆ
เลียนแบบ เช่น จีนจะใช้กำลังยึดไต้หวัน
การยึดประวัติศาสตร์ในลักษณะนี้เป็นข้ออ้างของผู้ที่ต้องการรุกรานมากกว่า ที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับในปัจจุบันคือ
การยึดกฎหมายระหว่างประเทศ อธิปไตย
และบูรณาภาพแห่งดินแดนของแต่ละประเทศตามที่เป็นอยู่
รัฐบาลรัสเซียประกาศเรื่อยมาว่าเคารพอธิปไตยประเทศอื่น
และเรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ เคารพอธิปไตยตนเอง
แต่การยึดครองและผนวกไครเมียเป็นหลักฐานชี้ว่ารัสเซียในปัจจุบันได้ละเมิดอธิปไตยประเทศอื่นอย่างชัดเจน
ทางที่จำต้องเดิน :
ดังที่เคยวิเคราะห์แล้วว่าการที่รัสเซียต้องยึดไครเมียมาจากเหตุผลด้านความมั่นคงเป็นหลัก
เนื่องจากไครเมียเป็นจุดยุทธศาสตร์ เป็นที่ตั้งของกองเรือทะเลดำ (Black Sea
Fleet) ที่เซวาสโตโพล (Sevastopol) เป็นท่าเรือน้ำอุ่นเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในฝั่งยุโรป
ประเด็นการรวมตัวเป็นสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (Eurasian Economic
Union) โดยรัสเซียเป็นแกนนำและจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 1
มกราคม 2015 น่าจะเป็นอีกเหตุผลที่อียูต้องการสกัดกั้น เกิดความวุ่นวายในยูเครนจนได้นายเปโตร
โปโรเชนโก (Petro Poroshenko) ประธานาธิบดีคนล่าสุดที่อิงชาติตะวันตก
ทำให้สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชียจะประกอบด้วยรัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน และอาร์เมเนีย
โดยปราศจากชื่อยูเครน
อีกเหตุผลที่ควรเอ่ยถึงคือการวิเคราะห์ในเชิงเกียรติภูมิแห่งชาติ
เมื่อพูดถึงประเทศรัสเซีย
ต้องตระหนักว่ารัสเซียเป็นมหาอำนาจชาติหนึ่ง
แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เป็นอภิมหาอำนาจดังเช่นยุคสงครามเย็น ยังคงเป็นที่ประเทศที่ยิ่งใหญ่
มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความหยิ่งในความเป็นชาติของตน ไม่ยอมก้มหัวให้กับชาติตะวันตก
ที่สำคัญคือในปัจจุบันมีบางประเทศที่ดำเนินนโยบายอิงรัสเซีย
หวังพึ่งความช่วยเหลือจากรัสเซีย เสมือนเป็นอีกทางเลือก (alternative way) หากประเทศนั้นไม่ดำเนินนโยบายที่สอดรับกับสหรัฐเสียทุกเรื่อง รัฐบาลซีเรียกับอิหร่านในปัจจุบันคือตัวอย่าง
หากรัสเซียไม่แสดงท่าทีความเป็นผู้นำ ยอมก้มหัวให้กับสหรัฐ
บรรดาประเทศเหล่านี้ก็จะตีตัวออกห่าง เป็นเหตุทำให้รัสเซียยิ่งปราศจากมิตร
ถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น สูญเสียผลประโยชน์อันเนื่องจากความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านี้
(ภายใต้มุมมองว่าสหรัฐยังคงดำเนินนโยบายเป็นปรปักษ์กับรัสเซียอย่างต่อเนื่อง)
หรือไม่ก็ยอมจำนนอยู่ใต้อิทธิพลของสหรัฐ อาจได้ชื่อว่าเป็น “พันธมิตร” แต่ไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม
การไม่ยอมก้มหัวให้สหรัฐคือนโยบายของรัฐบาลปูติน
ดังที่ประธานาธิบดีปูตินกล่าวย้ำว่าสหรัฐต้องการกำราบรัสเซียให้อยู่ใต้อำนาจ
แต่จะไม่มีวันสำเร็จ “ตลอดประวัติศาสตร์ไม่มีใครสามารถจัดการรัสเซีย
และจะไม่มีวันทำได้”
รัสเซียกับนาโตต่างต้องการมีอิทธิพล :
ถ้ามองในกรอบยูเครน
ประเด็นสำคัญในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องไครเมีย แต่อยู่ที่ตัวยูเครนส่วนที่เหลือ
จากข้อมูลที่ปรากฏ
รัสเซียเสนอ 2 ทางเลือก ข้อแรกคือ ให้ยูเครนเป็นกลางซึ่งรัฐบาลโอบามาไม่ยอมรับ
เห็นว่ายูเครนจะสัมพันธ์กับประเทศใดอย่างไร ขึ้นกับการตัดสินใจของยูเครน
ข้อเสนอที่
2 คือ ให้ยูเครนเป็นสหพันธรัฐ เห็นว่ารัฐบาลกลางต้องกระจายอำนาจมากขึ้น
ไม่อาจใช้รูปแบบรัฐเดี่ยวได้ เพราะพิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวตั้งแต่ได้เอกราชจากอดีตสหภาพโซเวียตเมื่อ
23 ปีก่อน เบื้องหลังของข้อเสนอนี้คือรัสเซียต้องการคงอิทธิพลแถบตะวันออก โดยอ้างว่ามีชาวยูเครนพูดภาษารัสเซียจำนวนมาก
(ทำนองเดียวกับไครเมีย) สนับสนุนผู้ชุมนุมประท้วงที่นิยมชมชอบรัสเซีย ในเมืองโดเนตสค์
(Donetsk) กับเมืองลูกันสก์ (Lugansk)
ฝ่ายสหรัฐกับพันธมิตรอียูไม่พยายามพูดอะไรที่ชัดเจน
ให้การตัดสินใจใดๆ มาจากการตัดสินใจของรัฐบาลยูเครน พร้อมกับยืนยันว่านาโตยังเปิดรับสมาชิกที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐานของนาโต
เมื่อพิจารณาท่าทีของขั้วการเมืองยูเครนตะวันตก
ล้วนเป็นท่าทีที่ต้องการใกล้ชิดตะวันตก เช่น หวังเป็นสมาชิกอียู เข้าร่วมนาโต
ขณะที่รัสเซียไม่ยอมให้ยูเครนเป็นสมาชิกนาโตโดยเด็ดขาด การขยายตัวของนาโตเข้าใกล้พรมแดน
ส่อท่าทีคุกคามทางทหาร เป็นเรื่องที่รัสเซียยอมให้ไม่ได้ ถือว่าเป็น
“เส้นต้องห้าม”
โดยสรุปแล้ว ยูเครนฝั่งตะวันออกในขณะนี้สงบเรียบร้อยกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน
แต่รากปัญหายังไม่มีข้อยุติ นั่นคือ
ที่สุดแล้วยูเครนจะสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอย่างไร จะเป็นกลาง อิงรัสเซียหรืออิงชาติตะวันตก
และกลายเป็นว่าความขัดแย้งยูเครนทำให้รัสเซียเผชิญหน้ากับฝ่ายสหรัฐ
เกิดสงครามเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ
ฝ่ายสหรัฐอาศัยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
การเมืองระหว่างประเทศ จนค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าอย่างหนัก อัตราการเติบโตเศรษฐกิจถดถอย
เพื่อกดดันให้รัสเซียยอมจำนน
ส่วนฝ่ายรัสเซียเห็นว่าผลจากการที่ยูเครนตีตัวออกห่างจากรัสเซีย
ทำให้เศรษฐกิจและสังคมยูเครนกำลังจะล่มสลาย รัฐบาลไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนข้าราชการ
ที่ผ่านมาเศรษฐกิจยูเครนอยู่ได้ด้วยการอิงความช่วยเหลือจากรัสเซีย ในขณะที่ชาติตะวันตกไม่พร้อมจ่ายราคา
นาย Vyacheslav Nikonov รองประธานสภาดูมาพยากรณ์ว่า “ประเทศกำลังแยกออกเป็นเสี่ยงๆ
รัฐบาลเคียฟยังไม่มีแผนกอบกู้เศรษฐกิจที่ชัดเจน”
ดังนั้น
ฝ่ายรัสเซียเชื่อว่าหากดึงเกมยืดเยื้อเชื่อว่าประชาชนจะออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาลโปโรเชนโก
และรัสเซียจะเป็นฝ่ายชนะในที่สุด
วิเคราะห์องค์รวม ยูเครนไครเมีย :
ความขัดแย้งในยูเครนในขณะนี้ได้บานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจแล้ว
ณ วันนี้เมื่อพูดถึงความขัดแย้งยูเครน จึงไม่ใช่เรื่องของยูเครนเท่านั้น
แต่เป็นความขัดแย้งในภาพที่ใหญ่กว่า รุนแรงกว่า เป็นเรื่องการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจโดยตรง
อาจถึงขั้นจัดระเบียบความสัมพันธ์ใหม่ถ้าเชื่อว่าเป็นความขัดแย้งอย่างจริงจัง และเรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ
คาดว่าต้องกินเวลาแสดงพลังอีกหลายเดือน
เป็นสงครามเศรษฐกิจ
การเมืองระหว่างประเทศที่ไม่ได้ประกาศชัด สาธารณชนไม่ตื่นตระหนกเท่ากับการประกาศทำสงครามด้วยกำลังทหาร
ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจในขณะนี้สามารถติดตามจากความขัดแย้งในยูเครน
และเรื่องอื่นๆ ที่มีผลต่อค่าเงินรูเบิล เศรษฐกิจรัสเซีย (วิเคราะห์ในตอนหน้า)
ส่วนอนาคตของยูเครนไม่ขึ้นกับประชาชนยูเครนอีกต่อไป
แต่ขึ้นกับรัฐบาลชาติมหาอำนาจว่าจะให้เรื่องยุติอย่างไร
14 ธันวาคม 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 19 ฉบับที่ 6613 วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2557, http://www.ryt9.com/s/tpd/2050549)
---------------------
กว่า 20 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียเข้าแทรกแซงการเมืองการเลือกตั้งยูเครน
เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ดำเนินนโยบายใกล้ชิดรัสเซีย แต่ความไร้เสถียรภาพของรัฐบาล
การก่อการของขั้วฝ่ายตรงข้าม ทำให้การเมืองยูเครนผันผวน
ได้รัฐบาลที่อิงชาติตะวันตกสลับกับที่อิงรัสเซีย
เป้าหมายของยุทธศาสตร์ใหม่ของประธานาธิบดีปูติน คือหวังแก้ความผันผวนทางการเมือง
ด้วยการแยกยูเครนออกเป็น 3 ส่วน
แม้ว่าทุกวันนี้จะผ่านพ้นสงครามเย็นมานานแล้ว
สิ่งหนึ่งที่สื่อชาติตะวันตกทำอย่างต่อเนื่องนับจากสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน คือ
การโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร หลอกหลวงประชาคมโลกอย่างเป็นระบบ
ไม่ต่างจากทางการรัสเซียที่ยังใช้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือดังที่กระทำเรื่อยมา
วิกฤตยูเครนในขณะนี้เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างพยายามช่วงชิงความได้เปรียบ
โดยพยายามเปรียบเปรยให้นึกถึงสงครามเย็น ยุคที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน
และพยายามดึงให้ประเทศอื่นๆ อยู่กับฝ่ายของตน
รัฐบาลรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีปูติน
ได้ควบคุมไครเมียและพร้อมส่งกองทัพข้ามพรมแดนไปยังฝั่งยูเครนตะวันออก
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลตะวันตกคาดการณ์มานานแล้ว
เพราะในมุมมองของรัสเซียประเทศยูเครนเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางด้านความมั่นคงที่สำคัญ
สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้จึงเป็นการให้บทเรียนแก่ชาติตะวันตก
ว่ารัสเซียจะไม่ยอมปล่อยยูเครนให้อยู่ใต้อิทธิพลฝ่ายตะวันตกอย่างง่ายๆ และควรรู้ว่าอะไรคือ
“เส้นต้องห้าม”
1. Cohen, Stephen F. (2009). Soviet fates and lost alternatives
: from Stalinism to the new Cold War. New York: Columbia University Press.
2. Crisis in Ukraine result of wrong EU policy - Russian
envoy. (2014, April 9). ITAR-TASS. Retrieved from http://en.itar-tass.com/russia/727116
3. Longworth, Philip. (2005). Russia: The Once and Future
Empire From Pre-History to Putin. New York: St. Martin’s Press.
4. Moldavanova, Alisa. (2013). Public Perception of the
Sea Breeze Exercises and Ukraine’s Prospects in the Black Sea Region.
Retrieved from http://fmso.leavenworth.army.mil/Collaboration/international/Ukraine/Sea-Breeze-exercise.pdf
5. Putin: Crimea similar to Kosovo, West is rewriting its
own rule book. (2014, March 18). RT. Retrieved from
http://rt.com/news/putin-address-parliament-crimea-562/
6. Putin: Deploying Russian troops in Ukraine not necessary
now, but possible. (2014, March 4). Pravda.Ru. Retrieved from
http://english.pravda.ru/news/russia/04-03-2014/127014-putin_russian_troops_ukraine-0/
7. Putin: ‘US wants to subdue Russia, but no one did or ever
will’. (2014, November 18). RT Retrieved from http://rt.com/news/206623-putin-us-never-subdue-russia/
8. Remarks by President Obama at NATO Summit Press
Conference. (2014, September 5). The White House. Retrieved from http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2014/09/05/weekly-address-time-give-middle-class-chance
9. Russia, Ukraine agree on gas supplies until March 2015.
(2014, October 31). RT. Retrieved from http://rt.com/business/200951-gas-russia-ukraine-deal/
10. Stephens, Bret. (2014). America in Retreat: The New
Isolationism and the Coming Global Disorder. New York: Penguin Group.
11. The Kremlin, Moscow. (2014, December 4). Presidential
Address to the Federal Assembly. Retrieved from http://eng.kremlin.ru/news/23341
12. Zamyatina, Tamara. (2014, July 25). Ukraine’s political
crisis may lead to disintegration of its statehood – experts. ITAR-TASS.
Retrieved from http://en.itar-tass.com/opinions/1840
----------------------------