ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซียในวิกฤตยูเครนเป็นสงครามเย็นหรือไม่ (ตอนที่ 2)
ผู้ที่เคยอยู่ในช่วงสงครามเย็นหรือได้ศึกษาเรื่องราวโดยละเอียด
จะรับรู้เหมือนกันว่าสงครามเย็นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน
เป็นช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัวภัยสงคราม
ถ้าเป็นประเทศในกลุ่มประชาธิปไตยจะรับรู้ถึงภัยคุกคามจากลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญหากพูดว่าสงครามเย็นกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อพิจารณา ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซียต่อสถานการณ์ในยูเครน
มีลักษณะหลายอย่างคล้ายสงครามเย็น เช่น เป็นการเผชิญหน้าระหว่าง 2
ชาติมหาอำนาจโดยตรง ทั้งคู่ต้องการแผ่ขยายอิทธิพลทั้งต่อประเทศยูเครนในทุกด้าน
ทั้ง 2 ประเทศมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือ
แต่ระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากสถานการณ์บานปลาย โดยเฉพาะการปะทะด้วยกำลังทหาร
ภายใต้ลักษณะที่เหมือนหรือคล้ายกันหลายประการ
ยังมีลักษณะที่แตกต่าง ไม่เหมือนสงครามเย็น บทความตอนนี้จะนำเสนอลักษณะแตกต่างเหล่านี้
ลักษณะที่แตกต่างจากสงครามเย็นในอดีต
:
จากการศึกษาพบว่าวิกฤตยูเครน
การแยกตัวออกของไครเมีย มีลักษณะที่แตกต่างจากสงครามเย็นในอดีต ดังนี้
ประการแรก
ไม่ใช่ความขัดแย้งอันเนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมือง
เมื่อเริ่มต้นสงครามเย็นนั้น รัฐบาลโซเวียตประกาศอย่างชัดเจนว่าจะเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์
สร้างระบบสังคมนิยมโลก แต่การแผ่ขยายเกิดขึ้นในช่วงแรกของสงครามเย็นเท่านั้น และเมื่อเข้าสู่ปลายทศวรรษ
1980 ระบอบคอมมิวนิสต์เริ่มล่มสลายในยุโรปตะวันออก
จนในที่สุดสหภาพโซเวียตก็ล่มสลายด้วย
เหตุการณ์สำคัญที่สร้างความวิตกกังวลแก่รัฐบาลสหรัฐฯ
คือการที่รัฐบาลโซเวียตใช้อำนาจทหาร
อำนาจการเมืองผนวกหลายประเทศในยุโรปตะวันออกเข้าเป็นพวกเดียวกันตน
ในเรื่องนี้นักวิชาการในระยะหลังหลายคนอธิบายว่าเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลโซเวียตกระทำการดังกล่าว
ไม่ใช่เพื่อการเผยแผ่ลัทธิการเมือง แต่ต้องการสร้างรัฐกันชน (buffer state)
เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2
สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่โซเวียต เมืองสำคัญๆ หลายเมืองทุกทำลายราบ
มีผู้เสียชีวิตกว่า 30 ล้าน
เมื่อสิ้นสงครามรัฐบาลโซเวียตจึงให้ความสำคัญกับการสร้างรัฐกันชน
เป็นยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ เพื่อลดความสูญเสียหากเกิดสงครามในอนาคต
แต่ประธานาธิบดีแฮร์รี
เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman) ตีความว่านี่คือการขยายลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
ดำเนินหลักนิยมทรูแมน (Truman Doctrine) ปิดล้อมการแผ่ขยายของคอมมิวนิสต์
ถ้าจะวิเคราะห์กันอย่างจริงๆ
จังๆ การอธิบายว่าสงครามเย็นเป็นความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์การเมืองจึงเป็นเรื่องซับซ้อน
หากมองจากมุมมองของผู้นำโซเวียตตั้งแต่ผู้นำสตาลินจนถึงผู้นำมิคาอิล
กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) โซเวียตต้องการและมีเป้าหมายให้โลกเป็นสังคมนิยม
ด้วยการสนับสนุนด้านความคิด การเมือง ไม่ใช่ด้วยการทำสงครามระหว่างประเทศ และเห็นว่าแม้มีระบอบเศรษฐกิจการเมืองแตกต่างกัน
ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และอื่นๆ
บนผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งยังเชื่อว่าสภาพที่โลกอยู่ด้วยกันโดยสงบสุข
สังคมนิยมกับทุนนิยมมีความสัมพันธ์ต่อกันจะเอื้ออำนวยให้ประเทศทุนนิยมเปลี่ยนมาเป็นสังคมนิยมได้ง่ายกว่า
แต่รัฐบาลโลกเสรีนิยมในยุคสงครามเย็น
มักชี้ว่าโซเวียตต้องการแผ่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตย
ในเรื่องนี้พอจะอธิบายได้ว่า ผู้นำโซเวียตในยุคสงครามเย็นไม่หวังที่จะเปลี่ยนโลกให้เป็นสังคมนิยมด้วยการใช้กำลังความรุนแรง
อาจเป็นเพราะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ หรือพวกตนยังไม่พร้อม สหภาพโซเวียตกับพันธมิตรยังอยู่ในภาวะต้องการฟื้นฟูจากสงครามโลกครั้งที่
2 ประเทศหรือรัฐบริวารที่เข้าระบบสังคมนิยมยังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงขั้นต้นเท่านั้น
ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ มุ่งมองว่าสหภาพโซเวียตเป็นภัยคุกคามสำคัญเร่งด่วน
จำต้องต่อต้านให้ถึงที่สุด
ความที่รัฐบาลสหรัฐฯ
ดำเนินนโยบายปิดล้อม ต้องการต่อต้านค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์จนถึงที่สุด
ทำให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคือการเผชิญหน้าที่ยาวนานกว่า 4 ทศวรรษของค่ายเสรีนิยมกับสังคมนิยมในช่วงปี
1945-1991 ต่างฝ่ายต่างไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา
เห็นว่าฝ่ายหนึ่งต้องการโค่นล้มอีกฝ่ายหนึ่ง
ความหวาดระแวงต่อกันเป็นอุปสรรคต่อการปรับความสัมพันธ์ และก่อให้เกิดการเผชิญหน้าในหลายมิติ
หลายเหตุการณ์
เมื่อพิจารณาสถานการณ์ความขัดแย้งกรณียูเครน มีข้อสรุปชัดเจนว่า
รัสเซียในปัจจุบันไม่ใช่สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ จึงไม่ใช่ความขัดแย้งอันเนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างแน่นอน
การที่รัสเซียส่งกองกำลังควบคุมไครเมีย และผนวกไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียก็ด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงเป็นสำคัญ
ประการที่สอง
รัสเซียในปัจจุบันไม่ยิ่งใหญ่ดังเช่นอดีต
ดังที่ได้กล่าวในตอนแรกแล้วว่า
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อต้นทศวรรษ 1990 ส่งผลลดทอนอำนาจอิทธิพลอย่างมาก
สหภาพโซเวียตแตกออกเป็นหลายประเทศ ชื่อเสียงในฐานะอภิมหาอำนาจสูญสิ้น เมื่อรัสเซียเริ่มต้นเป็นประเทศประชาธิปไตย
ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีบอริส เยลซิน (Boris Yeltsin) เศรษฐกิจประเทศอยู่ในภาวะย่ำแย่มาก ฐานะการคลังอยู่ในสภาพเกือบล้มละลาย
แต่รัสเซียยังได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจ หลายอย่างเป็นผลพวงจากอดีต เช่น
การเป็นสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ มีอาวุธนิวเคลียร์ ยังเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่ได้ลดระดับจากอภิมหาอำนาจมาเป็นชาติมหาอำนาจลำดับรอง ที่ยังแสดงบทบาทในสถานการณ์โลกอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเปรียบเทียบพลังอำนาจด้านต่างๆ กับสหรัฐฯ
รัสเซียในปัจจุบันอยู่ในฐานะเป็นรอง ไม่ว่าเรื่องอำนาจเศรษฐกิจ
อำนาจทางทหารและการเมืองระหว่างประเทศ รัสเซียในปัจจุบันยังอยู่ในภาวะฟื้นฟู
พัฒนาประเทศในทุกด้านให้กลับมายิ่งใหญ่เช่นเดิม และกำลังก้าวขึ้นมาเรื่อยๆ
โดยเฉพาะตั้งแต่นายวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ได้เป็นผู้นำบริหารประเทศอย่างยาวนานหลายสมัยตั้งแต่เมื่อสิ้นปี
1999 เป็นต้นมา
นักวิชาการบางคนเห็นว่า
รัสเซียมีแนวโน้มเป็นชาติอำนาจนิยมและจักรวรรดินิยม เนื่องจากประวัติศาสตร์รัสเซียเคยเป็นประเทศที่มีอาณาเขตมากที่สุดในโลก
เคยควบรวมอาณาจักรข้างเคียงมารวมเป็นประเทศเดียวกับตน ดังนั้น
ในความคิดของรัสเซียยังต้องการแสดงความมีอำนาจและการแผ่ขยายอำนาจอยู่เสมอ แต่บางคนเห็นตรงข้าม
เช่น นาย Efstathios T. Fakiolas ชี้ว่า รัสเซียในปัจจุบันไม่ได้เป็นอภิมหาอำนาจอีกแล้ว
อำนาจรัสเซียในปัจจุบันไม่สามารถครอบงำโลกในยุคโลกาภิวัตน์
ไม่สามารถสร้างค่ายหรือขั้วเพื่อต่อต้านสหรัฐฯ ดังสมัยสงครามเย็น
หรือต่อต้านโลกาภิวัตน์
รัฐบาลปูตินอาจมีเป้าหมายต้องการให้รัสเซียกลับมาอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกับมหาอำนาจอื่นๆ
ด้วยการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ปฏิรูปในส่วนที่ยังอ่อนแอไม่สมบูรณ์
และมีบทบาทในเวทีโลก แต่ ณ วันนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น
ยังคงต้องติดตามต่อไปว่ารัสเซียจะสามารถพัฒนาประเทศ
ระบอบการเมืองการปกครองให้เป็นชาติมหาอำนาจที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนได้หรือไม่
รัสเซียในปัจจุบันจึงไม่ยิ่งใหญ่
ไม่มีศักยภาพเป็นภัยคุกคามร้ายแรงดังเช่นสมัยสงครามเย็นอีกแล้ว แต่เป็นอีกประเทศหนึ่งที่อยู่ภายใต้บริบทโลกาภิวัตน์ไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ
ประการที่สาม
รัสเซียในปัจจุบันมีเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับตลาดโลก
รัสเซียมีข้อได้เปรียบตรงที่ประเทศมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
ปัจจุบันยังเป็นประเทศที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในโลก อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
มีก๊าซธรรมชาติสำรองมากเป็นลำดับที่ 1 และมีถ่านหินมากเป็นลำดับที่ 2 ของโลก
มีน้ำมันสำรองร้อยละ 18 ของน้ำมันทั้งโลก
คาดว่าจะเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายสำคัญของโลกได้อีกหลายทศวรรษ
ความที่เป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก
รัฐบาลปูตินจึงใช้การส่งออกพลังงานเพื่อสร้างรายได้แก่ประเทศ เป็นเครื่องมือดำเนินนโยบายต่างประเทศ
การเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะนี้จึงขึ้นอยู่กับการส่งออกพลังงาน แร่ธาตุ (ราว 2 ใน 3
ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) และมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจฟื้นฟูก็ด้วยการส่งออกพลังงาน แร่ธาตุ
ในปีที่ผ่านมา
รัสเซียสามารถผลิตและส่งออกน้ำมันมากที่สุดในโลก และจากสถานการณ์ที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงโดยเฉลี่ย
113 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รัสเซียจึงมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันมากถึง
1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมการส่งออกก๊าซธรรมชาติ
ซึ่งรัสเซียก็เป็นผู้ผลิตและส่งออกรายสำคัญที่สุดของโลก ทำให้การค้าระหว่างประเทศมีภาวะเกินดุลอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีเงินสำรองระหว่างประเทศมากเป็นอันดับที่สามของโลกรองจากจีนและญี่ปุ่น
ตั้งแต่แรกเกิดวิกฤตยูเครน
แม้ว่ารัสเซียจะแสดงอาการก้าวร้าวและทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นตามลำดับ
จนสุดท้ายผนวกเขตปกครองไครเมียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน
เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย ตลอดช่วงของพัฒนาการเหตุการณ์ดังกล่าว
ชาติตะวันตกได้แต่กล่าวว่าจะใช้นโยบายโดดเดี่ยวรัสเซีย คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
และได้ประกาศมาตรการบางอย่างที่มีผลน้อยมาก
เหตุผลสำคัญที่ชาติตะวันตกไม่กล้าคว่ำบาตรอย่างจริงจัง
นั่นเป็นเพราะว่าการคว่ำบาตรจะทำให้เกิดการตอบโต้ไปมาด้วยการคว่ำบาตรจากอีกฝ่ายหนึ่ง
ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันโดยเฉพาะระหว่างรัสเซียกับสหภาพยุโรป (อียู)
ที่ต่างเป็นผู้ส่งออกและนำเข้าสำคัญของอีกฝ่าย
ย่อมเห็นภาพอย่างชัดเจนว่าจะเกิดผลร้ายมากเพียงใดหากต่างไม่ค้าขายกับอีกฝ่าย
อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจโดยรวมของอียูยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวเท่านั้น
หลายประเทศเพิ่งผ่านวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 2-3 ปีก่อน
การตอบโต้ทางเศรษฐกิจจึงมีโอกาสที่จะสร้างความเสียทางเศรษฐกิจแก่อียูอย่างมาก
ในมุมกลับกัน
หากการคว่ำบาตรทำให้คนงานอียูนับแสนต้องตกงาน
รัสเซียอาจต้องเผชิญปัญหาไม่ต่างกันมากนัก
และหากเศรษฐกิจอียูอ่อนแอย่อมจะกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซียเช่นกัน
การเจรจาระหว่างนายจอห์น
แคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเมื่อปลายเดือนมีนาคม
เป็นการเจรจาอย่างเป็นทางการและจริงจังที่สุดนับจากเริ่มเกิดวิกฤติยูเครน สหรัฐฯ
ยืนกรานว่ารัสเซียผนวกไครเมียนั้นผิดกฎหมายและไม่ชอบธรรม ด้านรัสเซียหวังจะให้ไครเมียจะกลับไปอยู่กับยูเครน
ภายใต้รูปแบบสหพันธรัฐ (federal state) และยูเครนจะมีหลายเขตปกครองตนเอง
ที่สามารถเลือกแนวทางเศรษฐกิจการเงิน สังคม ภาษา ศาสนาของตนเอง แต่สหรัฐฯ
ไม่เห็นด้วยกับการให้ยูเครนเป็นกลาง เห็นว่าอนาคตของยูเครนต้องให้ยูเครนตัดสินใจเอง
แม้ไม่สามารถยุติมูลเหตุความขัดแย้ง
แต่ได้ “แช่แข็ง” สถานการณ์ไม่ให้บานปลาย และที่สำคัญคือ นับจากนี้ทั้งชาติตะวันตกกับรัสเซียจะไม่ตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรเศรษฐกิจให้รุนแรงกว่าที่เป็นอยู่อีกต่อไป
เพราะต่างรู้ดีว่าเสียหายด้วยกันทั้งคู่ ยิ่งคว่ำบาตรยิ่งตอบโต้
ต่างฝ่ายต่างยิ่งเสียหาย
นี่คือระบบโลกยุคโลกาภิวัตน์
ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกัน
หากเศรษฐกิจประเทศหนึ่งเสียหายจะกระทบต่อเศรษฐกิจของอีกประเทศ
ต่างจากระบบเศรษฐกิจในยุคสงครามเย็นที่แต่ละประเทศมักทำการค้าการลงทุนกับประเทศในขั้วเดียวกันเป็นหลัก
ค่ายเสรีนิยมสามารถปิดล้อมทางเศรษฐกิจต่อค่ายคอมมิวนิสต์
เมื่อพิจารณาคุณลักษณะที่แตกต่างจากสงครามเย็นในอดีต พบว่าความแตกต่างสำคัญที่เกิดขึ้น มาจากฝั่งของค่ายสังคมนิยมเป็นหลัก โดยเฉพาะผลจากการสิ้นสุดสหภาพโซเวียต อิทธิพลพลังอำนาจของรัสเซียในปัจจุบันอยู่ในช่วงฟื้นฟู ไม่ยิ่งใหญ่ดังเช่นอดีต ไม่ต้องการเผยแผ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ รัสเซียในปัจจุบันมีระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ หากวิกฤตยูเครนกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปหรือเศรษฐกิจโลก เท่ากับว่ากำลังกระทบต่อเศรษฐกิจตนเองในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียง ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ
เมื่อพิจารณาคุณลักษณะที่แตกต่างจากสงครามเย็นในอดีต พบว่าความแตกต่างสำคัญที่เกิดขึ้น มาจากฝั่งของค่ายสังคมนิยมเป็นหลัก โดยเฉพาะผลจากการสิ้นสุดสหภาพโซเวียต อิทธิพลพลังอำนาจของรัสเซียในปัจจุบันอยู่ในช่วงฟื้นฟู ไม่ยิ่งใหญ่ดังเช่นอดีต ไม่ต้องการเผยแผ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ รัสเซียในปัจจุบันมีระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ หากวิกฤตยูเครนกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปหรือเศรษฐกิจโลก เท่ากับว่ากำลังกระทบต่อเศรษฐกิจตนเองในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียง ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ
วิกฤตยูเครนจึงไม่ใช่ความขัดแย้งแบบสมัยสงครามเย็นในอดีตอย่างแน่นอน
โอกาสที่จะเกิดผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศในระดับโลกมีน้อยและไม่รุนแรง
ส่วนโอกาสที่จะตอบโต้ทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงนั้นมีน้อยเช่นกัน
(อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ) เพราะทุกรัฐบาลต่างต้องการให้ประเทศตนมีเศรษฐกิจที่ดี การดูแลภาวะเศรษฐกิจในยุคนี้จึงมีความสำคัญเทียบเท่ากับการระวังไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์
เพราะวิกฤตเศรษฐกิจส่งผลทำให้ผู้คนนับล้านประสบความทุกข์ยากแสนสาหัส แม้ไม่ตายฝ่ายร่างกายแต่ก็เหมือนกับผู้ที่ตายทั้งเป็น
แม้บ้านเรือนสิ่งของไม่เสียหายแต่กลายเป็นคนไร้บ้านไร้สมบัติใดๆ
ประเด็นสำคัญสุดท้ายที่ควรพิจารณาคือ
เมื่อไม่เป็นสงครามเย็น แต่ทำไมผู้นำประเทศบางคน สื่อบางสำนัก
จึงพูดพาดพิงถึงสงครามเย็น มีเหตุผลที่ลึกซึ้งหรือไม่
เป็นเรื่องที่จะพิจารณาในตอนจบของเรื่องนี้
พฤษภาคม 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
[บทความทั้งหมดมี 3 ตอน ตอนต่อไป คือตอนจบ]
----------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ความตึงเครียดจากสถานการณ์ยูเครนที่เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2013
จนนำสู่การเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจรัสเซียกับฝ่ายสหรัฐฯ อย่างชัดเจน สหรัฐฯ
กับพันธมิตรโดยเฉพาะอียูร่วมออกมาตรคว่ำบาตรรัสเซียหลายรอบ
ข้อเขียนชิ้นนี้อธิบายนโยบายของสหรัฐฯ
ต่อรัสเซียเพื่ออธิบายเหตุผลที่มาที่ไปของนโยบายปิดล้อมรัสเซีย
การตอบโต้จากรัฐบาลปูติน นำสู่การวิเคราะห์องค์รวม
ชี้ให้เห็นยุทธศาสตร์เชิงลึกของสหรัฐฯ ความพยายามจัดระเบียบโลกผ่านวิธีการต่างๆ
จุดอ่อนของยุทธศาสตร์ปิดล้อม พลังอำนาจที่ถดถอยของสหรัฐฯ พร้อมกับคาดการณ์อนาคต
สนใจอีบุ๊ค คลิกที่รูป |
1. Cohen, Stephen F. (2009). Soviet fates and lost
alternatives : from Stalinism to the new Cold War. New York: Columbia
University Press.
2. Fakiolas, Efstathios T. (2012). International Politics
in Times of Change. Tzifakis, Nikolaos. (Ed.). Berlin: Springer-Verlag
Berlin Heidelberg.
3. Putin warns West against sanctions, says Ukraine interim leader
'not legitimate. (2014, March 4). Fox News. Retrieved from
http://www.foxnews.com/world/2014/03/04/putin-blames-unconstitutional-overthrow-yanukovych-for-crimea-crisis/
4. Roberts, Geoffrey. (1999). The Soviet Union in World
Politics: Coexistence, Revolution and Cold War, 1945-1991. London:
Routledge.
5. Samuels, Richard J. (Ed.). (2006). Cold War. In Encyclopedia
Of United States National Security. (pp.135-138). California: Sage
Publications, Inc.
6. US, Russia talks fail to end Ukraine deadlock. (2014,
March 30). Businessweek/AP. Retrieved from http://www.businessweek.com/ap/2014-03-30/kerry-set-to-see-russian-fm-on-ukraine
7. Ukraine crisis: US-Russia deadlock despite 'frank' talks.
(2014, March 30). BBC. Retrieved from http://www.bbc.com/news/world-europe-26814651
-------------------------