เยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ เส้นทางที่นายกฯ อาเบะเลือกเดิน
วันที่ 26 ธันวาคม 2013 ในโอกาสที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ครบ 1
ปี นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ
(Yasukuni Shrine) เพื่อสักการะทหารผู้เสียชีวิตจากสงครามราว
2.5 ล้านคน โดยเฉพาะทหารผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ
รัฐบาลหลายประเทศได้กล่าวโจมตีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากจีน เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
เห็นว่านายกฯ อาเบะกำลังรื้อฟื้นลัทธิทหารนิยม ชาตินิยม
และเป็นภัยคุกคามต่อประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ดังเช่นก่อนสมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา
สื่อจีนหลายฉบับพากันเขียนบทความโจมตีอย่างต่อเนื่อง บทความของนายหลิว
เจียงหยง (Liu Jiangyong) วิพากษ์อย่างเผ็ดร้อนว่าประชาคมโลกจะคิดอย่างไรหากผู้นำเยอรมันปัจจุบันทำความเคารพอดีตจอมเผด็จการนาซี
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) มันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงและขยะแขยงมาก
อดีตการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ :
หากตรวจสอบประวัติศาสตร์ย้อนหลังจะพบว่า
ไม่ใช่ผู้นำญี่ปุ่นทุกคนที่ไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ แต่ที่ผ่านมานายกฯ หลายท่านได้ไปเยือน
นายมิกิ
ทะเกะโอะ (Miki Takeo) คือนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ไปสักการะศาลเจ้าเมื่อปี
1975 โดยอ้างว่าเป็นการเยือนส่วนตัว 3 ปีต่อมาอัฐิของบุคคลสำคัญ
14 คนที่เป็นอาชญากรสงครามระดับ A (Class A) ก็ปรากฏในศาลเจ้าอย่างลึกลับ ทั้ง 14 คนได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เจ้า’ ของลัทธิชินโต ซึ่งผูกโยงกับการบูชาจักรพรรดิ
ส่งเสริมให้ประชาชนจงรักภักดีต่อรัฐบาลและสนับสนุนการทำสงคราม ศาลเจ้าแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายขวานับจากนั้นเป็นต้นมา
ในปี
1985 นายยาสุฮิโระ นากาโซเนะ (Yasuhiro Nakasone) เป็นนายกฯ คนแรกที่ไปสักการะอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าที่สิ่งทำคือเพียงใช้เงินชำระค่าดอกไม้ ไม่ทำการสักการะตามแบบชินโต
แต่ส่งผลให้ประเทศจีน เกาหลีใต้และอีกปลายประเทศประท้วงอย่างรุนแรง รัฐบาลนากาโซเนะแก้ด้วยการประกาศว่าจะไม่ไปสักการะอีก
ในปี
1996 นายกฯ ริวทาโร ฮาชิโมโตะ (Ryutaro Hashimoto) เดินทางไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิในวันเกิดของเขา
ด้วยความคิดว่าจะไม่ถูกตีความว่าเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการ
แต่ก็ถูกหลายประเทศประท้วงเช่นเคย สถานการณ์ยุติหลังรัฐบาลประกาศว่านายกฯ ฮาชิโมโตะ
จะไม่ไปเยือนศาลเจ้าอีก ตามรอยอดีตนายกฯ นากาโซเนะ
ผู้ที่ไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิมากที่สุดคือ
นายกฯ จุนอิชิโร โคอิซูมิ (Junichiro Koizumi) ไปเยือนศาลเจ้าเป็นประจำทุกปี
รวมถึง 6 ครั้ง ขณะดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2001–6 กลายเป็นช่วงที่ปัญหาการเยือนศาลเจ้ายืดเยื้อต่อเนื่องยาวนานที่สุด
นายกฯ โคอิซูมิให้เหตุผลที่ไปสักการะว่าเพื่อแสดงเจตนาว่าเขายึดมั่นในสันติภาพและต้องการมีความสัมพันธ์อันราบรื่นกับประเทศเพื่อนบ้าน
แต่รัฐบาลจีน เกาหลีใต้และอีกหลายประเทศไม่เชื่อเช่นนั้น
การเยือนของนายกฯ อาเบะเป็นการกลับมาเยือนอีกครั้งในรอบ 7 ปี หลังการเยือนครั้งล่าสุดคือเมื่อปี
2006 โดยนายกฯ โคอิซูมิ
ในอีกฝากหนึ่ง
นักการเมืองญี่ปุ่นหลายคนไม่เห็นด้วยกับการไปสักการะศาลเจ้ายาสุกินิ เช่น ในปี
2009 นายกฯ ยูกิโอะ ฮาโตยามะ (Yukio Hatoyama) จากพรรค Democratic
Party of Japan ประกาศว่าตัวท่านและคณะรัฐมนตรีจะไม่ไปสักการะ นอกจากนี้กลุ่ม
New Komeito ประกาศจะไม่ไปศาลเจ้า เช่นเดียวกับพรรค Japan
Communist Party และ Social Democratic
ทางด้านประชาชนญี่ปุ่นนั้นมีทั้งฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายต่อต้านและฝ่ายที่ไม่สนใจ
ข้อมูลบางแหล่งชี้ว่า มีชาวญี่ปุ่นราว 1 ล้านครอบครัวที่อยู่ในสมาคมผู้สูญเสียจากสงครามญี่ปุ่น
สนับสนุนนายกฯ ญี่ปุ่นให้ไปสักการะศาลเจ้า สมาคมนี้มีความเชื่อมโยงกับพรรค Liberal
Democratic Party (นายกฯ อาเบะสังกัดพรรคดังกล่าว)
ฝ่ายที่ต่อต้านเห็นว่าการไปเยือนศาลเจ้า
คือการย้ำเตือนว่านโยบายชาตินิยมในอดีตต้องจ่ายราคามากเพียงใด นอกจากนี้ ยังมีชาวญี่ปุ่นอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายต่อต้าน
พวกเขาไม่สนใจไม่ใส่ใจกับเรื่องทำนองนี้
บ้างก็เห็นว่าเป็นเพียงการไปเคารพทหารผู้สละเสียชีวิตจากสงครามเท่านั้น
อันเป็นพิธีการที่หลายประเทศทำกันทั่วไป ไม่มีผลต่อความคิดทางการเมืองของพวกเขา
การไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิจึงเป็นเรื่องของพวกฝ่ายขวา
ไม่ใช่เรื่องที่ชาวญี่ปุ่นทุกคนจะเห็นดีเห็นงาม
ข้อได้เปรียบของนายกฯ อาเบะ :
นายกฯ
อาเบะให้เหตุผลเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิว่าเพื่อรำลึกถึงทหารผู้เสียชีวิตในสงครามเท่านั้น
ไม่มีความหมายอย่างอื่น คำตอบของท่านไม่แตกต่างจากอดีตนายกฯ
หลายคนที่ไปเยือนศาลเจ้า และถูกหลายประเทศประท้วงอย่างรุนแรง
จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งจากการเยือนศาลเจ้าไม่ใช่เรื่องใหม่
อดีตผู้นำญี่ปุ่นหลายท่านที่เคยเยือนศาลเจ้าจะตามมาด้วยการวิวาทะกับประเทศเพื่อนบ้าน
บางกรณีถึงกับที่ผู้นำญี่ปุ่นต้องประกาศว่าจะไม่ไปเยือนอีก ดังนั้น นายกฯ
อาเบะย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้ สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าหากตนเยือนศาลเจ้าจะมีผลอย่างไร
หากวิเคราะห์ภายใต้กรอบคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล นายกฯ
อาเบะเยือนศาลเจ้าก็เพราะได้คิดไตร่ตรองรอบคอบแล้วว่า “ได้มากกว่าเสีย”
ถ้าจะวิเคราะห์เรื่องนี้ผ่านความสัมพันธ์กับจีน
อาจอธิบายได้ว่า ก่อนการเยือนศาลเจ้า
รัฐบาลอาเบะกับรัฐบาลจีนมีประเด็นข้อพิพาทหลายเรื่องอยู่แล้ว เช่น
เรื่องหมู่เกาะเซนกากุ/เตียวหยู การเพิ่มงบประมาณกลาโหมและการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของญี่ปุ่น
การปรับการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
การประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense
Identification Zone) ของจีนเหนือน่านฟ้าทะเลจีนตะวันออก ฯลฯ
ลำพังเรื่องเหล่านี้มีเหตุสร้างความขัดแย้งมากพออยู่แล้ว
ภายใต้กรอบคิดดังกล่าว
ถ้านายกฯ อาเบะจะเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิก็ไม่ช่วยขยายความขัดแย้งระหว่าง 2
ประเทศมากนัก หรือถ้านายกฯ อาเบะไม่เยือนศาลเจ้าก็ไม่ช่วยลดการเผชิญหน้าเช่นกัน
และที่สำคัญกว่านั้น นายกฯ อาเบะมีข้อได้เปรียบเหนืออดีตนายกฯ ที่ผ่านมาใน 2
ประการหลัก ได้แก่
ประการแรก
ข้อได้เปรียบเรื่องความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ
ในอดีตที่ผ่านมา
การเยือนศาลเจ้าแต่ละครั้ง จะมีนักธุรกิจญี่ปุ่นบางคนบางกลุ่มออกมาแสดงความกังวลต่อการค้าการลงทุนระหว่างญี่ปุ่นกับจีนเสมอ
เป็นแรงกดดันหนึ่งที่ไม่ต้องการให้นายกฯ เดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุกุนิ
เรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจจึงเป็นประเด็นที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
แต่ภายใต้แนวทางการบริหารเศรษฐกิจของนายกฯ อาเบะ หรือที่บางคนเรียกว่า “Abenomics”
ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ใช้มาตรการทั้งการเงิน การคลัง ในเวลาเพียงปีเดียว
เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างชัดเจน นักธุรกิจนักลงทุนมีความเชื่อมั่น นับเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
กลายเป็นจุดแข็งของรัฐบาลชุดนี้ นายกฯ อาเบะไม่ต้องกังวลว่าหากทะเลาะกับจีนแล้วจะสั่นสะเทือนระบบเศรษฐกิจ
เป็นไปได้ว่านายกฯ
อาเบะอาจต้องการเป็นนายกฯ ญี่ปุ่นคนแรกที่ไม่เกรงว่าการเยือนศาลเจ้าจะกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ
ต้องการชี้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นภายใต้การบริหารของตนกำลังฟื้นตัว
ญี่ปุ่นไม่เกรงกลัวอิทธิพลเศรษฐกิจของจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
แซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว ช่วยลดกระแสความหวาดวิตกของญี่ปุ่นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทางการเมืองระหว่างประเทศของจีน
ประการที่สอง นโยบายความมั่นคงร่วมญี่ปุ่น-สหรัฐฯ
นโยบายต่างประเทศ
โดยเฉพาะนโยบายทางด้านความมั่นคงระหว่างประเทศของนายกฯ อาเบะเชื่อมโยงโดยตรงกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ
สองปีที่ผ่านมา รัฐบาลโอบามาใช้ยุทธศาสตร์ Pivot to Asia ให้ความสำคัญต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เนื่องจากเห็นว่าจากนี้ไปภูมิภาคนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศ
และจะกลายเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศ สหรัฐฯ
จึงต้องเข้าไปมีส่วนจัดแจงเรื่องราวในภูมิภาค
และภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว
รัฐบาลโอบามาได้กระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรในย่านนี้ ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศพันธมิตรที่สำคัญที่สุด
ตลอดปีที่ผ่านมา ภายใต้ความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับจีน
รัฐบาลโอบามายืนยันหลายครั้งว่าพร้อมปกป้องญี่ปุ่นตามสนธิสัญญาความมั่นคงร่วม (Mutual
Security Treaty) และชี้ว่ามีผลครอบคลุมหมู่เกาะเซนกากุ
การที่รัฐบาลโอบามายืนยันว่าสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นมีผลครอบคลุมหมู่เกาะพิพาท
เป็นหลักฐานสำคัญชี้ว่ารัฐบาลโอบามาไม่เพียงสนับสนุนความมั่นคงของญี่ปุ่นโดยรวมเท่านั้น
นัยยะที่สำคัญกว่าคือการสนับสนุนการเผชิญหน้าระหว่างญี่ปุ่นกับจีนผ่านข้อพิพาทดังกล่าว
(รวมทั้งประเด็นความขัดแย้งอื่นๆ) นายจอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมจะปกป้องญี่ปุ่นหากถูกโจมตี พร้อมกับย้ำว่ายุทธศาสตร์ Pivot
to Asia จำต้องอาศัยความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่าสหรัฐฯ
กับญี่ปุ่น
ดังนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นในปัจจุบันจึงดำเนินนโยบายความมั่นคงระหว่างประเทศบนความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับรัฐบาลสหรัฐฯ
2 ประเทศประสานการดำเนินนโยบายต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างมีชั้นเชิง รัฐบาลอาเบะมีชาติมหาอำนาจอันดับ
1 ของโลกหนุนหลังอยู่
การเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิของนายกฯ
อาเบะสามารถอธิบายได้ในหลายรูปแบบหลายแง่มุม ที่แน่นอนคือ รัฐบาลอาเบะได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์แม่บทจาก
“passive pacifism” มาเป็น “proactive pacifism”
อธิบายเบื้องต้นได้ว่าญี่ปุ่นจะมีบทบาทด้านความมั่นคงระหว่างประเทศอย่างกระตือรือร้นมากกว่าในอดีต
เช่น มีบทบาทช่วยเสริมสร้างความมั่นคงโลกในที่ต่างๆ
มีบทบาทเพิ่มขึ้นในองค์กรระหว่างประเทศด้านความมั่นคง และใช้แนวคิด
“Dynamic Joint Defense Force” อันหมายถึงการร่วมรักษาความมั่นคงกับกองกำลังประเทศต่างๆ
ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว
ญี่ปุ่นตระหนักว่าจำต้องเผชิญหน้ากับจีนที่กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งกระแสการต่อต้านจากประเทศในภูมิภาคอื่นๆ
ที่หวั่นเกรงอิทธิพลของญี่ปุ่น ที่เพิ่มบทบาทความมั่นคงในภูมิภาค
แต่หากญี่ปุ่นจะต้องเผชิญหน้าเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ
เพื่อความมั่นคงของประเทศ การเผชิญหน้าดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ขอเพียงให้ความขัดแย้งและการตอบโต้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างรัดกุม ไม่ให้บานปลายจนสร้างความสูญเสียเกินขนาด
นี่คือเส้นทางที่นายกฯ
อาเบะเลือกเดิน หรือ “จำต้อง” เลือกเดิน
(ได้รับการเผยแพร่ผ่าน ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2557, http://www.thaiworld.org/thn/thailand_monitor/answera.php?question_id=1323)
6 มีนาคม 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
----------------------
ทุกคนทุกชาติต่างมีความเชื่อศาสนาของตนเอง
ทหารญี่ปุ่นหลายคนเข้าทำสงครามด้วยความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านี่คือสงครามศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่คนชาติอื่นย่อมมีความคิดเห็นของตนเอง
เป็นอีกภาพความจริงของโลกที่ยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน
หรือแม้กระทั่งภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะคิดเห็นตรงกัน ชาวญี่ปุ่นที่ไปสักการะศาลเจ้ายาสุกินิก็ใช่ว่าจะไปด้วยความหมายเดียวกัน
หรือมีความรู้สึกที่เข้มข้นตรงกัน
สงครามทำลายล้างนานกิง
เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 8 ทศวรรษ
แต่ด้วยการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้นของจีนกับญี่ปุ่นในปัจจุบัน
เรื่องราวในอดีตจึงถูกรื้อฟื้น ประชาชน 2 ฝ่ายถูกดึงเข้ามามีส่วนร่วม
กลายเป็นสมรภูมิทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น ‘สงครามนานกิงในศตวรรษที่ 21’
บรรณานุกรม:
1. ธเนศ ฤดีสุนันท์. (2553). ปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาตินิยมจีนกับญี่ปุ่นในประเด็นสงครามจีน-ญี่ปุ่น
ครั้งที่ 2 (1937-1945). (วิทยานิพนธ์).
Retrieved from http://digi.library.tu.ac.th/thesis/po/1296/04chapter3.pdf
2. Breen, John., & Teeuwen, Mark. (2010). A New
History of Shinto. UK: Blackwell Publishing.
3. China Voice: Abe's Yasukuni Shrine visit a dangerous
step. (2013, December 26). Xinhua. Retrieved from http://news.xinhuanet.com/english/china/2013-12/26/c_132998040.htm
4. Jiangyong, Liu. (2014, February 11). History reveals
Abe's ploy. Retrieved from http://www.chinadaily.com.cn/opinion/2014-02/11/content_17275775.htm
5. Kingston, Jeff. (2013). Contemporary Japan: History,
Politics, and Social Change since the 1980s (2nd ed.). USA: John Wiley
& Sons Ltd.
6. Russel, Daniel R. (2014, January 13). Transatlantic
Interests In Asia. Retrieved from http://www.state.gov/p/eap/rls/rm/2014/01/219881.htm
7. Takahashi, Kosuke. (2014, February 13). Shinzo Abe’s
Nationalist Strategy. Retrieved from http://thediplomat.com/2014/02/shinzo-abes-nationalist-strategy/
8. U.S. vows to defend Japan if conflict erupts in East
China Sea. (2014, February 8). The Japan Times. Retrieved from http://www.japantimes.co.jp/news/2014/02/08/national/u-s-vows-to-defend-japan-if-conflict-erupts-in-east-china-sea/#.Uvc_xWKSwRk
----------------------------