ข้อวิพากษ์การบิดเบือน American exceptionalism : ดังที่กล่าวแล้วว่าไม่มีนิยาม
American exceptionalism อันเป็นที่ยอมรับทั่วไป
มีแต่นิยามที่เกิดจากการตีความและนำมาใช้ตามความต้องการมากกว่า ดังนั้น
เมื่อมีผู้ใดกล่าวอ้างหลักการดังกล่าว จึงมีมักเสียงสะท้อนว่าเป็นการบิดเบือนความหมายหรือตีความผิดเพี้ยน
ลักษณะของการบิดเบือนที่สำคัญคือ
1.
บิดเบือนว่าเป็นพันธกิจของศาสนา
การบิดเบือนโดยนำเรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องถูกผูกโยงเข้ากับเหตุการณ์ตั้งแต่อดีต
ในยุคล่าอาณานิคมนักการเมืองบางคนเห็นด้วยกับลัทธิจักรวรรดินิยม
ดังเช่น สุนทรพจน์ที่กล่าวเมื่อปีค.ศ. 1846 ของวุฒิสมาชิกโธมัส เบนตันที่กล่าวว่าพวกชนผิวขาวเท่านั้นที่ได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้ครอบครองแผ่นดินโลกนี้ทั้งสิ้น
เพราะเป็นชนชาติเดียวเท่านั้นที่เชื่อฟังบัญชาพระเจ้า เป็นการอ้างว่าสหรัฐฯ
สามารถเป็นเจ้าอาณานิคมเป็นจักรวรรดินิยมโดยถูกต้องตามหลักศาสนา
ในช่วงที่สหรัฐฯ
กำลังได้เปรียบในสงครามเวียดนาม สงครามถูกตีความเปรียบเทียบว่าเป็นพันธกิจของอเมริกาจะต้องทำสงครามครูเสด
(Crusade)
ไปให้ความสว่างแก่ชาวเวียดนาม (คำว่า ‘ความสว่าง’ เป็นคำที่นำมาจากหลักศาสนา)
ชาวอเมริกันไม่คิดว่าพวกเขากำลังเข้ายึดครองเวียดนามแต่กำลังช่วยชาวเวียดนามสร้างชาติให้เป็นแบบอเมริกัน
ในช่วงที่บรรยากาศทำสงครามต่อต้านลัทธิก่อการร้ายกำลังดำเนินอย่างเข้มข้นในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ
ดับเบิ้ลยู. บุช
ครั้งหนึ่งประธานาธิบดีถึงกับกล่าวในที่ประชุมสื่อว่าการทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายเหมือนกับการทำสงครามครูเสด
โยงกับเรื่องที่ผู้ก่อการร้ายที่ก่อเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001
ที่เป็นมุสลิม
ผู้ศรัทธาบางคนวิพากษ์ว่าหากคำว่า
exceptionalism มีจุดเริ่มต้นจากคำของนายวินธรอปที่กล่าวถึง
“เมืองที่ตั้งอยู่บนเขา” เท่ากับว่าเป็นการดึงคำที่อยู่คัมภีร์ไบเบิลมาตีความใหม่
ด้วยวัตถุประสงค์ใหม่ เพราะคริสเตียนใช้ประโยค “เมืองที่ตั้งอยู่บนเขา”
เป็นวิสัยทัศน์ตามความเชื่อ เป็นการสร้างสังคมตามหลักศาสนา ไม่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพหรือประชาธิปไตยอันเป็นแนวทางของฝ่ายโลก
นอกจากนี้ทุกหนทุกแห่งในโลกสามารถเป็น “เมืองที่ตั้งอยู่บนเขา” ไม่จำกัดว่าต้องเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่ในระยะหลังคำดังกล่าวถูกนำมาดัดแปลงเป็นลัทธิเป็นแนวคิดแพร่ขยายการปกครองแบบประชาธิปไตยตามแนวทางของอเมริกา
นำมาสร้างความชอบธรรมในการทำสงคราม เหล่านี้เป็นการบิดเบือนการตีความเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิล
ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันยังมีผู้ยึดถือลัทธิโดยยึดโยงกับศาสนาเช่นเดิม กลายเป็นประเด็นถกเถียงว่าเป็นการบิดเบือนทางศาสนาจริงหรือไม่
2. บิดเบือนว่าลัทธิเสรีนิยมประชาธิปไตยเหมาะสมกับทุกคนทุกสังคมทั่วโลก
ประเด็นนี้เป็นข้อถกเถียงอย่างมากเช่นกัน
ในยุคสงครามเย็นที่เป็นการแข่งขันระหว่างขั้วประชาธิปไตยกับขั้วสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
ต่างนำเสนอจุดดีของตนและอ้างว่าอีกฝ่ายบกพร่อง ทุกวันนี้รัฐบาลอเมริกันยังพูดอยู่เสมอว่าประชาธิปไตยคือการปกครองที่เหมาะสมกับทุกประเทศทั่วโลก
กลายเป็นต้นเหตุสำคัญของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
นายเบรนท์
สโกว์ครอฟท์ (Brent
Scowcroft) เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนต้องการชีวิตที่ดีขึ้น แต่ผู้ที่ใช้ American
exceptionalism มักบิดเบือนว่าคนทั่วโลกต้องการมีวิถีชีวิตแบบอเมริกันโดยไม่พิจารณาว่าพวกเขาต้องการอย่างนั้นจริงหรือไม่
หากกล่าวว่า
American exceptionalism สร้างคุณประโยชน์ต่ออเมริกามหาศาล
ในอีกแง่มุมหนึ่งเป็นต้นเหตุที่มาของความขัดแย้งมหาศาลเช่นกัน ดังนี้
1. ขัดแย้งกับค่านิยมอื่นๆ ทั่วโลก ได้รับการต่อต้านจากสังคมอื่นๆ
นายซบิกนิว เบรซินสกี (Zbigniew Brzezinski) เชื่อว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ต้องการอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี
(dignity) สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตน อยู่อย่างมีความหมายตามแบบของตน
เสรีภาพอาจเป็นส่วนหนึ่งของศักดิ์ศรีของใครบางคน
แต่ศักดิ์ศรีของมนุษย์มีมากกว่าเสรีภาพ และขึ้นอยู่กับนิยามของแต่ละคนแต่ละสังคมและศาสนา
นอกจากนี้คนทั่วโลกต่างต้องการให้ผู้อื่นเคารพในศักดิ์ศรี ในนิยามศักดิ์ศรีของตน
American
exceptionalism เป็นการประกาศว่าความเชื่อว่าค่านิยม แนวทางเศรษฐกิจการเมืองแบบอเมริกันดีที่สุด
ทุกประเทศต้องเจริญรอยตามโดยไม่คำนึงพื้นฐานการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
สังคมและเรื่องใดๆ ผลที่ตามมาคืออเมริกามักขัดแย้งกับประเทศที่มีระบบการเมืองเศรษฐกิจ
ค่านิยม วิถีชีวิต นิยามศักดิ์ศรีที่แตกต่างออกไป บางครั้งกลายเป็นศัตรู
คู่แข่งขัน
ผู้คนจำนวนมากทั่วโลกไม่พอใจเมื่อผู้นำอเมริกาบอกว่าค่านิยมแบบอเมริกาดีที่สุด
ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน
แม้การรุกคืบของ American exceptionalism ในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแรงจูงใจทางศาสนาเป็นสำคัญ
แต่ผลการรุกคืบคือการนำค่านิยมตะวันตกเข้าไปแทนที่ ก่อให้แก่ความขัดแย้งตั้งแต่ระดับรากหญ้าคือเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลของมุสลิมกับแนวคิดตะวันตก
มีหลักฐานมากมายว่าประชาชนประเทศอื่นๆ
ต่อต้าน American exceptionalism
แม้กระทั่งประเทศในยุโรปตะวันตกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
คนเหล่านี้ต่อต้านลัทธิดังกล่าว ต่อต้านระบอบการเมือง เศรษฐกิจสังคม
วัฒนธรรมตามแบบฉบับอเมริกันที่รัฐบาลสหรัฐฯ หยิบยื่นมาให้พร้อมกับความช่วยเหลือ
บ่อยครั้งความขัดแย้งเกิดจากเรื่องพื้นฐานอย่างเสรีภาพการพูดการแสดงออก
ชาวอเมริกันบางคนใช้เสรีภาพดังกล่าวในการวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาอื่น
จนกลายเป็นเหตุประท้วงทั่วโลกเพราะผู้อื่นเห็นว่าเป็นการลบหลู่ศาสนาอันเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้หรือจำต้องประท้วงต่อต้านเนื่องจากเป็นข้อบังคับทางศาสนา
การที่อเมริกายึดมั่นว่าตนมีพันธกิจมีหน้าที่ต้องส่งเสริมเสรีภาพ
ซึ่งปัจจุบันมาในรูปของการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นการคุกคามประเทศอื่นๆ
ที่ปกครองด้วยระบอบอื่น เกิดการต่อต้านการไม่เห็นด้วยจากรัฐบาลอื่นๆ
โดยเฉพาะรัฐบาลที่เข้ากันไม่ได้กับระบอบประชาธิปไตย ยิ่งสหรัฐฯ
ยึดมั่นมากเพียงใดก็ยิ่งได้รับการต่อต้านมากเพียงนั้น
2.
ได้รับการต่อต้านจากภายในประเทศอเมริกา
หากศึกษาประวัติศาสตร์ตั้งแต่ประกาศเอกราชเมื่อปี ค.ศ.1776
จนถึงยุคปัจจุบัน เหตุที่อเมริกาทำสงครามเกิดจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ American
exceptionalism เป็นปัจจัยสำคัญภายในประเทศประการหนึ่งอันเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลประกาศทำสงคราม
การทำสงครามด้วยลัทธิดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่ทำได้และชอบธรรม
แม้ทำให้ผู้คนทุกฝ่ายบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก หลายคนตกอยู่ในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด
ในแง่มุมภายในประเทศอเมริกา
ผลจากสงครามแต่ละครั้งได้สร้างความทรงจำแก่การเมืองภายในประเทศอย่างหลากหลาย
โดยเฉพาะสงครามอเมริกากับสเปน (Spanish-American War)
สงครามโลกครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 สงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม บางสงครามให้ความรู้สึกดี
อเมริกามีชัยชนะ ขณะที่ประชาชนต่อต้านบางสงครามโดยเฉพาะสงครามเวียดนาม
สงครามโค่นล้มระบอบซัดดัม ฮุสเซนในปี 2003 เป็นอีกตัวอย่างที่ส่งผลต่อการเมืองภายในประเทศ
ชาวอเมริกันราวสองในสามไม่เห็นด้วยกับการโจมตี
ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลข้ออ้างของรัฐบาล ไม่เชื่อว่าประเทศได้ประโยชน์จากการทำสงครามนี้
ทุกวันนี้พิสูจน์แล้วว่าเหตุผลที่รัฐบาลบุชอ้างเพื่อบุกอิรักนั้นเป็นเหตุผลเท็จ การที่นายบารัก
โอบามาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีด้วยการชูนโยบายถอนทหารอเมริกันออกจากอิรักและอัฟกานิสถานแสดงให้เห็นถึงกระแสการต่อต้านอย่างรุนแรง
เมื่อนายโอบามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมีเหตุที่ถูกการต่อต้านเช่นกัน
เมื่อรัฐบาลตั้งใจจะโจมตีกองทัพรัฐบาลซีเรียด้วยการแสดงหลักฐานที่สหรัฐฯ เป็นผู้เก็บและสรุปเองว่ากองทัพอัสซาดคือผู้ใช้อาวุธเคมีเมื่อวันที่
21 สิงหาคม 2013 เห็นว่าการอยู่นิ่งเฉยจะเป็นเหตุให้มีผู้ใช้อาวุธเคมีอีกในอนาคต อาวุธดังกล่าวอาจตกอยู่ในมือของผู้ก่อการร้ายและนำมาโจมตีอเมริกาในที่สุด
แต่ผลสำรวจของ CNN/ORC ชี้ว่าชาวอเมริกันกว่าร้อยละ 70
ไม่ต้องการให้สหรัฐฯ โจมตีซีเรียเนื่องจากเห็นว่าการโจมตีไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ
สหรัฐฯ ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองซีเรีย ผลสำรวจดังกล่าวสอดคล้องกับอีกหลายสำนักวิจัยที่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าประชาชนกว่าครึ่งไม่ต้องการให้ประเทศโจมตีซีเรีย
นายฮาโรลด์ โค (Harold Koh) นักกฎหมายและนักวิชาการอเมริกันชี้ว่าชาวอเมริกันควรกดดันรัฐบาลของตนเองให้หลีกเลี่ยงผลเสียจากการใช้
American exceptionalism
เพราะหลักการดังกล่าวกลายเป็นที่มาของการปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน
ปฏิบัติต่อตนเองอย่างหนึ่งในขณะที่ปฏิบัติต่อที่เหลือทั้งโลกอีกอย่างหนึ่ง
American exceptionalism ไม่มีผลต่ออเมริกาเสมอไป
American exceptionalism ไม่มีผลต่ออเมริกาเสมอไป
เมื่อประเมินภาพรวมแล้วพบว่า American exceptionalism มีผลต่อการตัดสินใจทางประวัติศาสตร์หลายครั้ง บางครั้งมีผลต่อความเป็นไปทั้งของอเมริกาและของโลก
อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวไม่ได้มีอิทธิพลเสมอไป เนื่องจากไม่ใช่ทุกรัฐบาลที่สนับสนุนหรือยึดถือแนวทางดังกล่าว
อีกทั้งยังขึ้นกับบริบทความเข้มแข็งของประเทศ การสนับสนุนจากประชาชน
เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์อเมริกาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ
ไม่ใช่ทุกรัฐบาลที่สนับสนุนหรือยึดถือแนวทาง American exceptionalism หากแนวคิดดังกล่าวสัมพันธ์กับการล่าอาณานิคม ข้อมูลทางวิชาการหลายชิ้นสรุปว่าชาวอเมริกันตั้งแต่ในช่วงทศวรรษ
1880 ต่อต้านลัทธิอาณานิคมอย่างมาก
อันเป็นเหตุให้อเมริกาประกาศเป็นเอกราชในเวลาต่อมา
ในแง่การขยายอาณาเขต
อเมริกามีทั้งช่วงที่ขยายอาณาเขตกับช่วงแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งใดๆ
ในโลก (Isolationism) เช่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลอเมริกันหันกลับไปยึดถือหลัก
Isolationism พยายามไม่ข้องแวะกับความขัดแย้งในยุโรปหรือที่อื่นใดทั่วโลก
ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) ผู้ดำรงตำแหน่งในช่วง
1977–1981 เป็นอีกตัวอย่างผู้นำประเทศที่ไม่นิยมความรุนแรง
ตั้งใจอยู่ร่วมกับฝ่ายตรงข้ามในยุคนั้นด้วยสันติ ไม่ว่าจะเป็นสหภาพโซเวียต
ชาติอาหรับที่เป็นศัตรูกับอิสราเอล
โดยสรุปแล้ว
เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ พบว่าผู้นำประเทศบางคน
นักการเมืองบางยุคสมัยไม่ยึดมั่น American exceptionalism
ในอีกด้านหนึ่งนายแดเนียล
เบลล์ (Daniel Bell) เห็นว่าความเข้มแข็งของประเทศมีผลต่อการยึดถือ
American exceptionalism โดยสังเกตว่าในทศวรรษ 1970
เป็นช่วงที่ไม่มีกระแสดังกล่าวเนื่องจากประเทศอยู่ในภาวะอ่อนแอ
สังคมอเมริกันกำลังแตกแยกทางความคิด วัฒนธรรมอย่างรุนแรง เศรษฐกิจมีปัญหา
ในช่วงเวลานั้นชาวอเมริกันส่วนใหญ่จึงไม่มีเชื่อเรื่อง American
exceptionalism และหันไปยึดถือค่านิยมอื่นๆ แทน
การต่อต้านสงครามเวียดนามในอดีต
การต่อต้านการโจมตีซีเรียเมื่อไม่นานนี้เป็นกรณีที่ประชาชนไม่เห็นด้วย การที่ผู้นำประเทศจะอ้าง
American exceptionalism จึงใช้ไม่ได้ผลเสมอไป ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ
อีกหลายอย่าง
มกราคม 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
----------------------
อ่านย้อนหลัง: