ข้อคิดจากขี้โรคแห่งเอเชีย
ครึ่งแรกของศตวรรษที่
20 จีนซึ่งเป็นชาติอารยธรรมเก่าแก่กลายเป็นที่ดูหมิ่นดูแคลนของคนต่างชาติ
เกิดคำว่า “ขี้โรคแห่งเอเชีย” จวบจนปัจจุบันคนจีนจำนวนมากยังไม่ลืมประวัติศาสตร์ในยุคนั้น
มีการสั่งสอนถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อให้คนจีนรุ่นใหม่ไม่ลืมช่วงแห่งเวลาความขมขื่น
และที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นบทเรียนที่ชาวจีนและคนทั่วโลกควรได้ตระหนักระลึกอยู่เสมอ
บทความนี้จะนำเสนอเสี้ยวหนึ่งของเรื่องราวเหล่านั้น เพื่อเป็นบทเรียนและข้อคิด
ดังนี้
จีนเป็นอาณาจักรเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี
มีทั้งช่วงแห่งความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอย ราชวงศ์ชิงเป็นอีกราชวงศ์ที่ไม่พ้นวงล้อประวัติศาสตร์เช่นราชวงศ์หรืออาณาจักรอื่นๆ
ประการแรก
คิดว่าประเทศตนยิ่งใหญ่ ไม่ปฏิรูปอย่างจริงจัง
อาณาจักรจีนมีการปฏิรูปหลายครั้ง สังคมมีการเปลี่ยนแปลงความคิดอ่านตามยุคสมัย
แต่ในปลายราชวงศ์ชิงด้วยความคิดที่ว่าตนได้พัฒนามาไกลเมื่อเทียบกับชนชาติอื่นๆ จึงสำคัญผิดคิดว่าตนดีเลิศอยู่เสมอ
กอปรกับชนชั้นปกครองพยายามรักษาอำนาจของตน เมื่อถึงคราวต้องการปฏิรูปจึงขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังและสายเกินแก้
เช่นในปี 1902
มีการปฏิรูประบบบริหารที่เรียกว่า “นโยบายใหม่”
(xinzheng) อันเป็นการรื้อฟื้นข้อเสนอปฏิรูปของเมื่อปี 1898
สำนักงานต่างประเทศกลายเป็นกระทรวงการต่างประเทศตามรูปแบบของตะวันตก
มีการมอบหมายให้ศึกษาแนวทางการปฏิรูปทั้งของญี่ปุ่น ยุโรปและสหรัฐ
จัดตั้งรัฐบาลโดยให้จักรพรรดิอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
จัดการเลือกตั้งทั่วไปทั้งในระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ
อย่างไรก็ตามปรากฏว่าอำนาจที่แท้ยังอยู่ในมือของชนชั้นปกครองระดับสูง
นอกจากนี้อำนาจราชวงศ์ในตอนนั้นเหลือเพียงน้อยนิด
ประชาชนส่วนใหญ่เลือกทางที่ตัวเองจะอยู่รอด
อำนาจทางทหารกระจายตัวอยู่ในมือของแม่ทัพนายกองประจำเมือง เกิดคนรุ่นใหม่ ชนชั้นกลางที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์
อำนาจเศรษฐกิจอยู่ในมือของนักธุรกิจรายใหญ่ หอการค้าประจำจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าวมีความสำเร็จในบางด้าน
เช่น ปฏิรูประบบสอบเข้าราชการเมื่อปี 1905
ประการสอง กองทัพอ่อนแอ เพราะขาดงบประมาณ การคอร์รัปชัน ความแตกแยกในผู้นำหมู่กองทัพ
ประการสอง กองทัพอ่อนแอ เพราะขาดงบประมาณ การคอร์รัปชัน ความแตกแยกในผู้นำหมู่กองทัพ
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาระยะหลังพบว่า ในช่วงศตวรรษที่
18 แม้จีนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ระบบราชการมีขนาดเล็ก
การเก็บภาษีเข้าคลังกระทำได้อย่างจำกัด ทำให้งบกลาโหมพลอยมีอย่างจำกัดด้วย
และกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญเมื่อต้องเผชิญหน้ากองทัพของผู้รุกรานที่มาพร้อมกับอาวุธสมัยใหม่
ความอ่อนแอของราชวงศ์ส่งผลต่อกองทัพเช่นกัน หลังจากปราบกบฏไท่ผิง (Taiping) ในปี 1864 เกิดปรากฎการณ์แม่ทัพตามหัวเมืองต่างๆ
ไม่อยู่ใต้อำนาจจักรพรรดิอย่างเต็มที่อีกต่อไป
หลายคนเลือกที่จะกระทำตามรัฐบาลกลางตราบเท่าที่ตนเห็นด้วยเท่านั้น
ความอ่อนแอของกองทัพจีนเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นเห็นว่าหากโจมตีจีนจะมีโอกาสชนะสูง
ความพ่ายแพ้ของกองทัพเรือจีนในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 เมื่อช่วงปี 1894-95 (First
Sino- Japanese War) พิสูจน์ว่าข้อสมมติฐานของญี่ปุ่นถูกต้อง กองเรือรบหน่วยอื่นๆ
ไม่ยอมเข้าช่วยเหลือกองเรือรบจีนที่กำลังจะปะทะกับกองเรือรบญี่ปุ่น ในเวลาต่อมาพบว่าอีกเหตุผลที่แพ้เป็นเพราะการคอร์รัปชันในหมู่ข้าราชการ
งบประมาณกองทัพถูกข้าราชการโกงกิน
ในซองบรรจุกระสุนแทนที่จะมีกระสุนปืนกลับมีแต่ทราย
ทหารขาดการฝึกซ้อมและขาดขวัญกำลังใจ กองทัพไม่อยู่ในสภาพพร้อมรบ
ความอ่อนแอของกองทัพคือผลสะท้อนรูปธรรมจากความอ่อนแอของประเทศ
เปิดช่องให้ต่างชาติรุกราน
ประการที่สาม
สังคมแตกแยก
เมื่อต่างชาติขยายการรุกราน
การเมืองภายในอ่อนแอ สังคมเสื่อมโทรม ข้าราชการขุนนางระดับสูงแก่งแย่งอำนาจแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว
ต่างชาติพยายามขูดรีดหาประโยชน์จากความอ่อนแอของจีน นำสู่การลุกฮือของประชาชนผ่านขบวนการต่างๆ
เช่น กลุ่มไท่ผิง การประท้วงจากกลุ่มนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่ยึดถือลัทธิชาตินิยม รวมทั้งกลุ่มของซุนยัดเซนและกลุ่มลัทธิคอมมิวนิสต์
สภาพความวุ่นวายทั้งหมดทำให้สังคมปั่นป่วนมากขึ้น คนในสังคมแตกแยกทางความคิดเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เห็นได้ชัดว่าระบอบราชวงศ์ชิงจะต้องล่มสลายในที่สุด
ข้อคิดบางประการ:
ประการแรก
ไม่อาจโทษต่างชาติเพียงฝ่ายเดียว
ตำราประวัติศาสตร์หลายเล่มบรรยายยุคขี้โรคแห่งเอเชียในภาพชนชาติจีนที่เคยสูงส่งยิ่งใหญ่ถูกต่างชาติรุมกดขี่ขูดรีด
คนจีนทั้งประเทศถูกกดขี่ข่มเหง ต้องสังเวยเสียชีวิตนับแสนนับล้านคนจากพฤติกรรมเลวร้ายดังกล่าว
บางแนวคิดเห็นว่าการรุกรานนั้นไม่เหมาะสม แต่บางแนวคิดเห็นว่าการรุกรานเป็นเรื่องปกติของโลก
ต่างฉกฉวยผลประโยชน์จากอีกฝ่ายเสมอ การรุกรานจากญี่ปุ่นกับชาติตะวันตกในสมัยนั้นเป็นเรื่องปกติ
เพราะชาติมหาอำนาจในยุคนั้นต่างรุกรานชนชาติอื่นที่อ่อนแอกว่า ยึดเป็นอาณานิคม
จับคนเป็นทาส ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ เพื่อเป็นตลาดระบายสินค้า
เป็นแหล่งวัตถุดิบราคาถูก ส่งเสริมเกียรติภูมิของชาติ
สิ่งที่ญี่ปุ่นแตกต่างจากจีนคือ ญี่ปุ่นอยู่ในฐานะประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่
เจริญรุ่งเรืองทางวัตถุตามแบบโลกตะวันตกในยุคนั้น
พัฒนาขีดความสามารถของกองทัพตามแบบแผนการรบอันทันสมัย
ไม่ใช่การรบแบบยุคใช้มีดดาบอีกต่อไป
และต้องการอาณานิคมด้วยเหตุผลเดียวกับมหาอำนาจอื่นๆ
ประวัติศาสตร์โลกหลายพันปีพิสูจน์ว่าสังคมหรืออาณาจักรใดที่อ่อนแอ
ย่อมง่ายต่อการถูกชนเผ่าหรืออาณาจักรอื่นรุกรานครอบครอง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งทั่วโลกและซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จึงไม่อาจโยนความผิดหรือโทษต่างชาติเพียงฝ่ายเดียวหากไม่รู้จักปกป้องตนเอง
ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เป็นพวกอ่อนต่อโลก หรือคิดเพียงแต่ว่าปกป้องครอบครัววงศ์ตระกูลของตนก็เป็นพอ
ประการที่สอง
ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง
การที่บุคคลหรือสังคมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ดี ต้องเริ่มจากการยอมรับว่ายังมีความรู้อีกมากที่ตนไม่รู้
ทำตัวเป็นดั่งฟองน้ำแห้งๆ ที่พยายามดูดซับน้ำมากที่สุด ต้องสำรวจเพื่อรู้ปัญหา
รู้จุดอ่อนของตนเอง เพื่อจะหาทางแก้ถูกจุด บางคนเสียดายอารยธรรมจีนที่สั่งสมความรุ่งเรืองมานับร้อยนับพันปี
ต้องมาพังทลายในช่วงเวลาไม่ถึงร้อยปี แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจมองว่าคือนั่นคือความเก่าแก่คร่ำครึที่ไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง
และลงเอยด้วยการล่มสลายไม่ต่างจากอารยธรรมเก่าแก่อื่นๆ ทั่วโลก
คงไว้แต่บทเรียนให้ชนรุ่นหลังตระหนักไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ในช่วงยุคสมัยแห่งการปฏิรูปจีนขนานใหญ่ คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามต่อความรู้ที่ถ่ายทอดกันมานับพันปีว่ามีความถูกต้องเพียงใด
หลายคนเห็นว่าล้าสมัยไม่ทันกับยุคสมัย ทำให้จีนอ่อนแอและล้าหลังในบางด้าน นักศึกษาชาวจีนจำนวนมากเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยเห็นว่าความรู้ภายในประเทศไม่ใช่คำตอบของทุกเรื่องอีกต่อไป
มีข้อมูลกว่าในปี 1937 กว่า 30,000 คนเดินทางไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นชาติที่ชาวจีนเกลียดชังและตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาจีนเห็นว่าตนยิ่งใหญ่กว่า
มีอารยธรรมสูงส่งกว่า ญี่ปุ่นต่างหากต้องรับวัฒนธรรมความรู้ของจีน
แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ชาวจีนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเห็นด้วยกับการเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ด้วยความถ่อมใจ
มองไกลกว่าการเป็นมิตรประเทศหรือไม่
เจียงไคเช็ค
เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ศึกษาต่อด้านการทหารที่ญี่ปุ่น แม้ท่านจะไม่ใช่นักศึกษาตัวอย่าง
แต่ 3 ปีที่อยู่ญี่ปุ่นได้ซึมซับเรื่องความมีระเบียบวินัย เกิดความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศสู่ความทันสมัย
ประการที่สาม
ความร่วมมือของผู้ปกครองกับประชาชน
แทนที่จะมุ่งโทษผู้ปกครองว่าไม่ได้ทำหน้าที่
เหตุที่ต่างชาติรุกรานประเทศเพราะผู้ปกครองไม่เอาใจใส่บ้านเมือง
ไม่สนใจสุขทุกข์ของประชาชนเท่าที่ควร ประชาชนต้องแสดงบทบาทของตนเองด้วย เมื่อฮ่องเต้ไม่กระทำตามอาณัติสวรรค์ให้ปกครองบ้านเมืองเพื่อประชาชน
ประชาชนก็ต้องลุกขึ้นแก้ไขตามบัญชาสวรรค์เช่นกัน
การฝากอนาคตให้กับผู้ปกครองพิสูจน์ว่าผู้นำที่ฉ้อฉลอ่อนแอเพียงไม่กี่คนก็ทำให้ชาติล่มสลาย
ดังนั้น ประชาชนจำต้องเอาใจใส่สังคม เอาใจใส่ประเทศชาติ ต่อต้านการใช้อำนาจในทางมิชอบ
สังคมจำต้องเรียนรู้ความเป็นไปของโลก พัฒนาประเทศชาติให้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา
ไม่เป็นเหตุให้ต่างชาติเข้ารุกรานได้โดยง่าย บ้านเมืองที่อยู่เย็นเป็นสุขเกิดจากความร่วมมือระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้การปกครอง
ต่างฝ่ายกระทำตามบทบาทหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสม
ในโอกาสครบรอบวันเกิด 120 ปีของอดีตประธานเหมา เจ๋อตง เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
สื่อ Global Times ของจีนได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของชาวจีน
พบว่าคุณความดียิ่งใหญ่ของประธานเหมาคือช่วยให้จีนรอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของต่างชาติ
สามารถเลือกเส้นทางของตนเอง พ้นจากการเป็นขี้โรคแห่งเอเชีย นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามกว่าร้อยละ
60 เห็นว่าเรื่องสำคัญที่ประธานเหมาวางรากฐานไว้คือการรับใช้ประชาชนและหลักความยุติธรรม
(fairness) กว่าร้อยละ 55 ยกย่องท่านที่เชิดชูบทบาทของจีนในเวทีโลก
ส่วนข้อบกพร่องที่กว่าร้อยละ 80 พูดถึงคือนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรมเมื่อปี 1966-76
นาย Xie Chuntao นักวิชาการจาก Party School
of the Communist Party of China Central Committee
ให้ความเห็นว่าผลสำรวจชี้ว่าชาวจีนในปัจจุบันมีความคิดต่อประธานเหมาอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้น
(ไม่เชื่อแบบหลับหูหลับตาอีกต่อไป)
การวิพากษ์วิจารณ์จากคนจีนปัจจุบันชี้ว่าสังคมเปิดกว้างเรื่องการวิพากษ์มากขึ้น ในอีกมุมหนึ่งคือรัฐไม่คิดจะควบคุมเข้มงวดอย่างที่ผ่านมา หรือไม่สามารถควบคุมดังเช่นอดีตอีกต่อไป เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าการวิพากษ์คือการแสดงออกของสังคมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ผลสำรวจชี้ว่าคนรุ่นใหม่ นักศึกษาคือพวกที่วิพากษ์วิจารณ์ประธานเหมามากที่สุด แต่การปล่อยให้พวกนักคิดพวกหัวก้าวหน้าอย่างเดียวชี้นำสังคมนั้นไม่เพียงพอ ที่สุดแล้วประชาชนทุกคนที่ยังมีลมหายใจ ยังคิดได้ พูดได้ ควรมีส่วนร่วมตามบทบาทของตนเอง สังคมจึงต้องเป็นสังคมแห่งความคิดความเข้าใจ ก้าวไปข้าหน้าอย่างเป็นเอกภาพ
5 มกราคม 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
------------------------
บรรณานุกรม:
1. Pong, David. (editor in chief). 2009. Encyclopedia of
Modern China. 4 volume set. USA: Charles Scribner’s Sons.
2. Mitter, Rana. 2013. Forgotten Ally: China's World War
II, 1937-1945. New York: Houghton Mifflin Harcourt.
3. Wright, David Curtis. 2011. The
History of China. Second edition. USA: Greenwood.
4. 85% say Mao's merits outweigh his faults: poll. (2013,
December 24). Global Times. Retrieved from http://www.globaltimes.cn/content/834000.shtml#.UrrWC9IW0Rk
5. Duiker, William
J. 2009. Contemporary World History, (Fifth edition). USA: Wadsworth.
6. Noble, Thomas F. X., Strauss, Barry., Osheim, Duane J.,
Neuschel, Kristen B., Accampo, Elinor A. Roberts, David D. & Cohen, William
B. 2011. Western Civilization: Beyond Boundaries, (6th Edition). USA: Wadsworth.
-------------------------