อีกมุมมองของปมสังหารยัสเซอร์ อาราฟัต
ข่าวนักวิทยาศาสตร์จากห้องทดลองในสวิสเซอร์แลนด์ได้พิสูจน์และมีข้อสรุปที่เชื่อได้ว่านายยัสเซอร์
อาราฟัต (Yasser Arafat) อดีตผู้นำองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ (Palestinian
National Authority หรือ PA) เสียชีวิตเพราะถูกลอบวางยาพิษด้วยสารพอโลเนียม-210
ทำให้ประเด็นปมสังหารนายอาราฟัตได้รับการวิพากษ์อย่างกว้างขวางอีกครั้ง
ประการแรก
อิสราเอลมีความตั้งใจมานานแล้ว
นายอาราฟัตเป็นเป้าหมายการสังหารมานานแล้วไม่ต่างจากแกนนำกลุ่มอื่นๆ
ในปาเลสไตน์เนื่องจากทางการอิสราเอลมีนโยบายชัดเจนว่าต้องการกำจัดแกนนำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายต่ออิสราเอล
นายอาราฟัตจึงเป็นเป้าหมายใหญ่และสำคัญยิ่งเพราะเป็นถึงประธานองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์
(PLO) ตั้งแต่ปี 1968 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปี 2004
ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มฟาตาห์ (Fatah) ในปี 1956
ในมุมมองของอิสราเอล
ทางการอิสราเอลเห็นว่าเป็นนายอาราฟัตเป็นภัยคุกคามความมั่นคงอิสราเอลโดยตรง ในปี
1985 นายเอเรียล ชารอน (Ariel Sharon) ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า
“การก่อการร้ายถูกกระตุ้น ประสานงานและนำทิศทางด้วยคนๆ เดียวคือยัสเซอร์ อาราฟัต
ประธานองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์”
ตัวอาราฟัตเองเคยเล่าว่าเขารอดจากความพยายามสังหารเขามาแล้วกว่า 40 ครั้ง
เช่น ในปี 1985 เขารอดหวุดหวิดเมื่อเครื่องบินรบอิสราเอลโจมตีศูนย์บัญชาการของเขาที่ตูนิเซีย
การโจมตีครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 73 คน ในเดือนธันวาคม 2001
ขีปนาวุธอิสราเอลโจมตีศูนย์บัญชาการที่เมือง Ramallah
เขารอดหวุดหวิดอีกครั้งเนื่องจากสามารถหนีเข้าไปหลบในที่ปลอดภัยได้ก่อน
ประการที่สอง หลักฐานจากคณะรัฐมนตรี 2003
ประการที่สอง หลักฐานจากคณะรัฐมนตรี 2003
มีข้อมูลว่าในปี
2003 คณะรัฐมนตรีอิสราเอลภายใต้นายเอเรียล ชารอน นายกรัฐมนตรีอนุมัติการสังหารโดยไม่ผ่านการไต่สวน
รัฐบาลมีนโยบาย “สังหารเป้าหมายเฉพาะ” ที่คาดว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย นาย MK
Haim Ramon ผู้แทนราษฎรจากพรรคแรงงานอิสราเอลกล่าวว่า
“ชารอนต้องการให้อาราฟัตสาบสูญไป เพื่อให้ปาเลสไตน์ได้ผู้นำสายกลางเข้ามาแทนที่”
ในเดือนสิงหาคม 2003 นาย Shaul Mofaz รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอิสราเอลประกาศว่า
“เราจะสังหารอาราฟัตด้วยวิธีการและเวลาที่เราเลือก”
มติกับนโยบายของรัฐบาลชารอนดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากแผนตอบโต้
Second Intifada หรือ Al-Aqsa Intifada (เริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2000 สิ้นสุดในปี 2004)
มุ่งกำจัดแกนนำและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายอันส่งผลทำให้พลเรือนอิสราเอลเสียชีวิตจำนวนหลายร้อยคน
Second
Intifada หรือ Al-Aqsa Intifada เริ่มต้นเมื่อนายชารอนขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคลีคูต
(Likud) เดินทางไปวิหาร Temple Mount หรือมัสยิด
al-Aqsa Mosque อันศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมในกรุงเยรูซาเล็ม
ก่อให้ชาวปาเลสไตน์พร้อมใจกันลุกฮือประท้วงทั่วประเทศ สองฝ่ายต่างใช้ความรุนแรงต่อกัน
เกิดการปะทะกันหลายปี ฝ่ายปาเลสไตน์ใช้ระเบิดพลีชีพและอาวุธต่างๆ ทำให้ชาวอิสราเอลเสียชีวิตกว่า
900 คน ดังนั้น ต้นเหตุของการเสียชีวิตของชาวอิสราเอลและเหตุรุนแรงรอบนี้เกิดจากนายชารอนโดยแท้
และเชื่อกันว่าเมื่อท่านได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ จึงใช้ตำแหน่งอำนาจของตนสั่งสังหารนายอาราฟัตอีกครั้งอย่างจริงจังด้วยสารพิษพอโลเนียม-210
ประการที่สาม
ความต้องการดินแดน
การสถาปนาประเทศขึ้นมาใหม่บนดินแดนอิสราเอลปัจจุบันเป็นความใฝ่ฝันสูงสุด
เป็นความต้องการของชาวอิสราเอลมานับร้อยปี หลังจากที่ต้องระหกระเหิน
ต้องทนทุกข์ในฐานะพลเมืองชั้น 2 ของหลายประเทศทั่วโลก
แม้อิสราเอลจะก่อตั้งประเทศได้
แต่ความต้องการดินแดนเพิ่มเติมยังไม่จบสิ้น
นักการเมืองหลายคนยึดมั่นแนวทางดังกล่าว การเข้ายึดครองพื้นที่ในฉนวนกาซา
เขตเวสต์แบงก์ตะวันตกและเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นหลักฐานที่สำคัญ
ที่ผ่านมารัฐบาลอิสราเอลอ้างเหตุผลต่างๆ
นานาเพื่อจะรักษาการยึดครองพื้นที่เหล่านี้ ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่ๆ
ตกลงไว้แล้วว่าจะเป็นของรัฐปาเลสไตน์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต กว่า 4
ทศวรรษที่ผ่านมารัฐบาลอิสราเอลอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ป้องกันการโจมตีโดยการก่อการร้ายจากกองกำลังต่างๆ
ของปาเลสไตน์ อ้างว่าการสร้างที่อยู่ในอาศัยในเขตยึดครองไม่กระทบกระบวนการเจรจาสันติภาพกับปาเลสไตน์
เกิดคำถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าทางการอิสราเอลหวังใช้การสังหารนายอาราฟัตเพื่อยั่วยุให้กิดความขัดแย้ง
เพื่ออิสราเอลจะมีข้ออ้างในการยึดครองพื้นที่ดังกล่าวต่อไป
สามารถขยายโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในเขตยึดครองอย่างต่อเนื่อง
แนวคิดนี้สอดคล้องกับคำพูดของนายชารอนที่แต่ไหนแต่ไรเขาประกาศในที่สาธารณะว่าตนมีนโยบายขยายอาณาเขตอิสราเอล
(Greater Israel) ซึ่งหมายถึงการยึดครองเขตเวสต์แบงก์ ปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์อย่างเข้มงวด
ทุกวันนี้อิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพในขั้นสุดท้าย
แต่ในสภาพดังกล่าวอิสราเอลเป็นฝ่ายได้ประโยชน์เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ได้ใช้ประโยชน์จากเขตยึดครองพื้นที่ๆ
เป็นของปาเลสไตน์ โดยพฤตินัยแล้วบางส่วนของเขตพื้นที่เหล่านี้จึงมีค่าเท่ากับเป็นดินแดนของอิสราเอล
นอกจากนี้ยังสามารถกดขี่ชาวปาเลสไตน์ กดดันให้สภาพเศรษฐกิจสังคมย่ำแย่
ประการที่สี่
การทำลายองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์
แม้นายอาราฟัตจะมีอายุถึง 75 ปีแล้วแต่ยังมีสุขภาพแข็งแรงพอสมควร
มีฐานะเป็นผู้นำองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ (PA)
เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์ จุดศูนย์รวมของกลุ่มต่างๆ
จึงมีความเชื่อว่าหากปราศจากนายอาราฟัตกลุ่มต่างๆ จะแตกแยก อาจเกิดการต่อสู้กันเองอย่างรุนแรง
ดังที่ผ่านมาก็มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มฮามาสกับกลุ่มฟาตาห์ (Fatah) ในฉนวนกาซา หรือแม้กระทั่งกลุ่มฟาตาห์ที่นายอาราฟัตก่อตั้งกับมือก็มีปัญหาการแตกแยกภายในเป็นหลายกลุ่ม
ในทางปฏิบัติแล้วนายอาราฟัตไม่สามารถควบคุมทุกรายละเอียด การแตกแยกและข่าวการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นอย่างดาษดื่นภายในองค์กรเป็นหลักฐานสำคัญ
ความรุนแรงที่ขยายตัวจาก Second Intifada การก่อการร้ายด้วยระเบิดพลีชีพ
ทำให้รัฐบาลชารอนอ้างว่านายอาราฟัตไม่มีความตั้งใจหรือไม่สามารถยับยั้งคนของตน
เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เห็นว่าควรเปลี่ยนผู้นำ PA รัฐบาลชารอนจึงเริ่มดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวนายอาราฟัตและป้ายสีว่าท่านเป็นศัตรูของโลกเสรี
ความต้องการทำลายองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์จึงมาจากเหตุผลที่ว่าองค์การประกอบด้วยกลุ่มย่อยๆ
หลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีอุดมการณ์หลากหลายตั้งแต่เป็นพวกมุสลิมสุดโต่งจนถึงพวกฝักใฝ่คอมมิวนิสต์
ที่ผ่านมาการรวมตัวของกลุ่มเหล่านี้เป็นผลงานจากน้ำพักน้ำแรงจากความสามารถ
บารมีเฉพาะตัวของนายอาราฟัตโดยแท้ หากกำจัดนายอาราฟัตจะทำให้กลุ่มเหล่านี้ไม่สามารถรวมตัวกันได้อีก
PA จะอ่อนแอลงหรืออาจสลายตัว
เมื่อถึงเวลานั้นอิสราเอลสามารถค่อยๆ เจรจาตกลงหรือกำจัดกลุ่มย่อยทีละกลุ่มได้โดยง่าย
ประการที่ห้า การชะลอกระบวนการเจรจา
ประเด็นที่ไม่ควรละเลยคือก่อนเกิด Second Intifada ในปลายปี
2000 แผนสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่เรียกว่า Camp David II ของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตันเกือบจะได้ข้อยุติแล้ว (หากอิสราเอลบรรลุข้อตกลงสันติภาพขั้นสุดท้ายกับปาเลสไตน์
นั่นหมายความว่าสองฝ่ายจะมีเขตแดนชัดเจน
อิสราเอลต้องถอนตัวจากพื้นที่ยึดครองทั้งหมด ปาเลสไตน์จะกลายเป็นรัฐอธิปไตย) แต่ด้วยการเยือนวิหาร
Temple Mount หรือมัสยิด al-Aqsa Mosque ของนายชารอนเป็นชนวนก่อให้เกิดความรุนแรงรอบใหม่
การเจรจาจึงหยุดชะงักทันที
ต่อมาในช่วงปี 2003 สันติภาพระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลมีความเป็นไปได้มากขึ้นอีกครั้ง
กลุ่มต่างๆ ในปาเลสไตน์มีเอกภาพและต้องการสันติภาพกับอิสราเอล รัฐบาลสหรัฐเริ่มดำเนินกระบวนการเจรจาอีกรอบ
ในช่วงต้นปี 2004 เป็นช่วงเวลาที่หลายฝ่ายเห็นว่ารัฐปาเลสไตน์กำลังใกล้จะเป็นความจริง
เหลือแต่บริบทที่เหมาะสมกับการตัดสินใจของผู้นำเท่านั้น แต่การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของนายอาราฟัตทำให้กระบวนการเจรจาสันติภาพ
การสถาปนารัฐปาเลสไตน์หยุดชะงักทันทีอีกครั้ง ต้องรอเริ่มต้นใหม่ด้วยผู้นำ PA
คนใหม่ นั่นคือนายมะห์มุด อับบาส (Mahmoud Abbas)
มีข้อมูลว่าเหตุผลส่วนหนึ่งที่นายอาราฟัตแต่งตั้งนายอับบาสเป็นนายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์มาจากแรงกดดันของรัฐบาลจอร์จ
ดับเบิ้ลยู. บุช และไม่นานหลังการถ่ายโอนอำนาจสมบูรณ์เขาก็จะถูกวางยาพิษ
ไม่ว่าเหตุผลเบื้องหลังของการเจรจาที่หยุดชะงักคืออะไร
ผลที่ปรากฏคืออิสราเอลสามารถยึดครองพื้นที่บางส่วนและดำเนินโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในพื้นที่ยึดครองต่อไป
กว่า
9 ปีแล้วนับจากวันที่นายยัสเซอร์ อาราฟัตเสียชีวิต ผู้เกี่ยวข้องหลายคนชี้ว่าอิสราเอลต้องรับผิดชอบแต่ที่ผ่านมาทางการอิสราเอลปฏิเสธเรื่อยมาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนายอาราฟัต
อีกทั้งข้อมูลการตรวจสอบมีเพียงข้อสรุปว่าท่านน่าจะเสียชีวิตด้วยพอโลเนียม-210 ไม่อาจสรุปว่าใครเป็นผู้ลงมือ
การวิเคราะห์มูลเหตุจูงใจข้างต้นเป็นการคาดคะเนตามข้อมูลที่ปรากฎ ตามหลักวิชาการในแนวทางหนึ่งเท่านั้น
ยังมีการวิเคราะห์อีกหลายแนวทาง ยังมีข้อมูลและเงื่อนงำอื่นๆ อีกมาก เช่น
ทำไมรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร รัฐบาลสหรัฐมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดนายอาราฟัตหรือไม่
ปมสังหารนายยัสเซอร์ อาราฟัตจึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ได้อีกนานเท่านาน
17 พฤศจิกายน 2013
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 18 ฉบับที่ 6222 วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2556)
-------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ตั้งแต่ยุคโบราณมนุษย์รู้จักยาพิษ
นำมาใช้เป็นอาวุธเรื่อยมา และเมื่อความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นมนุษย์เริ่มคิดค้นสารพิษใหม่ที่ร้ายแรงกว่าสารพิษที่พบตามธรรมชาติ
พอโลเนียม-210 คือตัวอย่างสารพิษที่มนุษย์แสวงหามานานแล้ว
นั่นคือสารพิษหรือยาพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นไร้รส ไม่มีทางเยียวยาที่ได้ผลดี
ตรวจจับไม่ได้ (ยากแก่การตรวจจับ) ผู้เสียชีวิตมักเป็นบุคคลพิเศษ
บุคคลสำคัญทางการเมือง พอโลเนียม-210 จึงเป็นยาพิษสมัยใหม่ที่คิดค้นมาเพื่อจัดการบุคคลเหล่านี้
2. ปริศนาการตายของยัสเซอร์อาราฟัต (Ookbee)
ยัสเซอร์ อาราฟัต เป็นบุคคลสำคัญของโลก
ได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์ ชีวิตของท่านตั้งแต่วัยหนุ่มเต็มด้วยการต่อสู้
ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ มีผู้พยายามสังหารท่านหลายครั้ง แต่สามารถหลบรอดคมห่ากระสุนอย่างหวุดหวิด
จนกระทั่งคืนวันที่ 12 ตุลาคม 2004
ท่านล้มป่วยกะทันหันอย่างรุนแรงในบ้านพักของท่านเอง ผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่าท่านเสียชีวิตด้วยพอโลเนียม-210
สนใจอีบุ๊ค คลิกที่รูป |
1. Lendman, Stephen. Did Israel Kill Arafat? Global
Research. 8 November 2013. http://www.globalresearch.ca/did-israel-kill-arafat/5357306
2. Chossudovsky, Michel. The Assassination of Yasser Arafat
was Ordered by The Israeli Cabinet: “We will Choose the Right Way and the Right
Time to Kill Arafat.” Global Research. 7 November 2013. http://www.globalresearch.ca/the-assassination-of-yasser-arafat-was-ordered-by-the-israeli-cabinet-we-will-choose-the-right-way-and-the-right-time-to-kill-arafat/5357121
3. Stokes, Jamie. (Editor). 2009. Encyclopedia of The
Peoples of Africa and the Middle East. New York: Infobase Publishing.
4. Mattar, Philip. 2004. The Encyclopedia of the Modern
Middle East and North Africa. 2nd Edition. USA: Thomson Gale.
-------------