วิสัยทัศน์โอบามา ระบบโลกใหม่ที่ควบคุมทุกรัฐบาลทั่วโลก
นับเป็นครั้งที่ห้าแล้วที่ประธานาธิบดีบารัก
โอบามาแสดงสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 24
กันยายนที่ผ่านมา เนื้อหาปีนี้ยังเน้นให้ความสำคัญต่อสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
พูดถึงเรื่องสงครามกลางเมืองในซีเรีย
การพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและความขัดแย้งระหว่างอาหรับกับอิสราเอล ทั้งหมดเป็นประเด็นร้อนที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่หากมองข้ามประเด็นเหล่านี้จุดที่น่าสนใจคือในส่วนสุดท้ายของสุนทรพจน์
ประธานาธิบดีโอบามาได้แสดงวิสัยทัศน์เรื่ององค์กรหรือระบบโลกที่เข้าควบคุมจัดการเหตุจลาจลวุ่นวาย
สงครามกลางเมืองในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีผลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกคน
บทความนี้จะตีความวิสัยทัศน์ดังกล่าวพร้อมข้อวิพากษ์
ดังนี้
ประการแรก
เหตุจากความมั่นคงภายในอันเปราะบาง พลเรือนถูกกระทำทารุณกรรม
ประธานาธิบดีโอบามาเริ่มต้นด้วยการคาดการณ์สถานการณ์โลกในอนาคตว่า
บางประเทศบางสังคมอาจเกิดเหตุวุ่นวาย มีการใช้ความรุนแรง พลเรือนผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงหรือเด็กต้องเสียชีวิต
เกิดเสียงเรียกร้องให้ประชาคมโลกเข้าจัดการ
แต่เนื่องจากระบบโลกปัจจุบันยังไม่มีสถาบันระหว่างประเทศใดสามารถยื่นมือเข้าปกป้องอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ประชาคมโลกจะได้ร่วมกันคิดว่าจะจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างไร
ความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าความขัดแย้งภายในรัฐจะเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในหมู่รัฐที่เป็นรัฐล้มเหลว (Failed State) หลายกรณีมีต้นเหตุจากปัญหาเศรษฐกิจสังคมภายในที่รุมเร้าอย่างกรณีอาหรับสปริงในปัจจุบัน
และที่จะเกิดจากชนกลุ่มน้อย เช่น พวกเคิร์ดในตุรกี ชีอะฮ์ในเลบานอน
ที่ผ่านมายังติดเรื่องอธิปไตย ถกเถียงกันว่ากรณีใดที่นานาชาติควรแทรกแซง
ดังเช่นกรณีซีเรียในปัจจุบัน ฝ่ายรัฐบาลระบุว่าการประท้วงไม่ได้มาจากความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่
กลุ่มผู้ก่อการร้าย กองกำลังติดอาวุธต่างชาติเข้าแทรกแซงซ้ำเติมสถานการณ์
รัฐบาลกำลังปกป้องพลเรือนปกป้องอธิปไตยของตน
ในขณะที่อเมริกากับพันธมิตรเห็นว่ารัฐบาลซีเรียสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์
ประการที่สอง สหประชาชาติจำต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ประการที่สอง สหประชาชาติจำต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเห็นว่าสหประชาชาติควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากสหประชาชาติในปัจจุบันได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันสงครามระหว่างรัฐ ขาดประสิทธิภาพในการป้องกันการสังหารหมู่ภายในประเทศ
ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีโอบามากำลังพูดถึงบทบาทของกองกำลังสหประชาชาติเรื่องการสร้างความสงบ
(Peacemaking) ที่เจตนารมณ์เดิมของสหประชาชาติไม่มุ่งหวังให้องค์กรแสดงบทบาทแก้ไขปัญหาภายในของประเทศใดๆ
ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียวหมีการถกเถียงกันมานานแล้ว เช่น
การเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองไม่จำต้องได้รับการยินยอมจากรัฐบาลของประเทศนั้น คำถามคือสหประชาชาติควรทำหน้าที่สร้างสันติภาพมากน้อยเพียงไร
หรือควรมุ่งจำกัดกรอบให้เป็นการรักษาสันติภาพ (Peacekeeping)
เข้าระงับการพิพาท
ไม่ว่าเจตนารมณ์ของประธานาธิบดีโอบามาคืออะไร
ท่านเห็นว่ากฎบัตรสหประชาชาติต้องปรับปรุง อาจรวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง
หรือไม่ก็ต้องสถาปนาองค์กรระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่อีกองค์กรหนึ่งเพื่อจัดการปัญหาดังกล่าว
ประการที่สาม
อเมริกาต้องช่วยเหลือปกป้องพลเรือนร่วมกับนานาชาติ
ในยามที่ประเทศใดอยู่ในภาวะดังกล่าวประธานาธิบดีโอบามาเห็นว่าสหรัฐมีหน้าที่ต้องเข้าไปปกป้องพลเรือนจากพฤติกรรมทารุณชั่วร้าย
เป็นการปกป้องสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน
แต่อเมริกาไม่สามารถและไม่ควรแบกรับหน้าที่ดังกล่าวเพียงลำพัง พยายามชี้ให้เห็นผลดีที่เกิดขึ้น
เช่น อเมริกาสนับสนุนฝรั่งเศสเข้าแทรกแซงสถานการณ์ในประเทศมาลี
สามารถผลักดันพวกอัลกออิดะห์ เพื่อให้กองกำลังแอฟริกันรับช่วงดูแลความเรียบร้อยนำความสงบสุขกลับมา
ปัจจุบันอเมริกาเข้าร่วมในกองกำลังสหประชาชาติเพื่อปกป้องพลเรือนในลิเบีย
เป็นเหตุให้หลายชีวิตอยู่รอดปลอดภัย ยับยั้งไม่ให้กลุ่มอดีตทรราชคืนสู่อำนาจ
แม้หลายคนอาจวิพากษ์ว่าลิเบียในขณะนี้ประสบปัญหาหลายอย่าง
อีกหลายพื้นที่ที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อย
กลุ่มติดอาวุธกับพวกสุดโต่งเข้าควบคุมเขตพื้นที่ต่างๆ ตามอำเภอใจ
แต่หากไม่มีกองกำลังสหประชาชาติในวันนี้สถานการณ์ลิเบียจะย่ำแย่กว่าที่เป็นอยู่
จะเกิดสงครามกลางเมือง พวกอัลกออิดะห์สามารถฆ่าหรือทารุณประชาชนตามใจชอบ
เป็นการตอกย้ำจุดยืนเดิมๆ ของอเมริกา
เห็นว่ามีความชอบธรรมที่จะแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นเมื่อเกิดเหตุจลาจลวุ่นวาย
อเมริกาไม่หวังผลเลิศในทุกกรณีแต่อย่างน้อยดีกว่าไม่ทำอะไรเลย พร้อมกับเรียกร้องนานาชาติเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ประการที่สี่ เป้าหมายคือองค์กรหรือระบบระหว่างประเทศที่เอื้อต่อการเข้าแทรกแซง
หลังจากไล่เลี่ยงเหตุผลที่มา
จุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง จนถึงจุดยืนของอเมริกา ท้ายที่สุดประธานาธิบดีโอบามาชี้ว่าสถานการณ์โลกไม่ได้ดำเนินในแนวทางที่ดีเยี่ยมสมบูรณ์แบบตามหลักอุดมคติ
“โลกไม่ได้อยู่ในทางที่ดีที่สุด หลายประเทศไม่เห็นด้วยกับการเข้าจัดการทุกกรณี
หลักอธิปไตยเป็นหัวใจของระเบียบระหว่างประเทศ แต่ไม่ควรให้ทรราชใช้อธิปไตยเป็นโล่ปกป้องตนเองในยามที่เขาสังหารผู้คน
หรือเป็นข้ออ้างให้ประชาคมโลกปิดตาตัวเอง”
แน่นอนว่าเราไม่สามารถขจัดความชั่วทุกอย่าง มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม “ข้าพเจ้าเชื่อว่าเราสามารถอ้าแขนต้อนรับอนาคตที่แตกต่าง”
ด้วยการที่ทุกประเทศมีนโยบายดำเนินการบางอย่างเพื่อให้
“ประเทศทั้งหลายมีความรับผิดชอบต่อบทบาทของตนและสิทธิต่างๆ ของปัจเจกบุคคล” หากประเทศใดฝ่าฝืนจะโดนทำโทษ
เช่น ถูกคว่ำบาตร ได้รับแรงกดดันทางการทูต
ถูกแทรกแซงด้วยกำลังทหารจากนานาชาติถ้าจำเป็น
รวมถึงการที่นานาประเทศมีนโยบายให้ความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาประเทศอื่นๆ
ให้สามารถรักษากฎเกณฑ์ต่างๆ
สรุปแล้วประธานาธิบดีโอบามาวาดฝันถึงระบบโลกที่มีกลไกจัดการรัฐบาลของประเทศใดๆ
ที่ขาดธรรมาภิบาล ไม่เคารพสิทธิของปัจเจกบุคคล
ประธานาธิบดีโอบามากล่าวต่อว่า
“นี่คือประชาคมโลกที่อเมริกาแสวงหา” โลกที่เหล่าผู้ปกครองไม่สามารถก่อสงครามอันป่าเถื่อน
โลกที่พวกเราสามารถแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติ
ป้องกันไม่ให้เกิดสงครามที่บรรพบุรุษได้สู้รบกันมา โลกที่มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมีสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่างๆ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องการเมืองภายในหรือระหว่างประเทศเท่านั้น
จะเกี่ยวข้องกับชีวิตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เช่น
ปัญหาความอดอยากยากจน สุขภาพอนามัย ปัญหาโลกร้อน สิทธิในการประกอบอาชีพ
“นี่คือการมองโลกอนาคตด้วยความหวังไม่ใช่ด้วยความกลัว
และเชื่อว่าประชาคมโลกจะสามารถขับเคลื่อนให้โลกมีสันติภาพ ความมั่งคั่ง
และความยุติธรรมยิ่งกว่าเดิมเพื่อชนรุ่นถัดไป”
รวมความแล้วคือระบบโลกที่ดูแลควบคุมมนุษย์ทุกคนผ่านรัฐบาลของประเทศนั้นนั่นเอง
วิเคราะห์องค์รวม:
หากคิดวิเคราะห์ในรายละเอียดจะมีประเด็นให้ถกเถียงถึงความถูกต้อง
เช่น ถ้าคนกลุ่มเล็กๆ ในประเทศหรือต่างชาติต้องการล้มรัฐบาล
จึงจัดตั้งกลุ่มชุมนุมประท้วงด้วยความรุนแรง ยั่วยุให้รัฐบาลปราบปราม ยั่วยุให้เกิดสถานการณ์รุนแรงเพื่อดึงนานาชาติเข้ามาแทรกแซง
จะเป็นการช่วยคนกลุ่มดังกล่าวหรือต่างชาติล้มรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศหรือไม่
สหประชาชาติหรือระบบโลกใหม่จะวินิจฉัยเรื่องเหล่านี้อย่างไร
เกณฑ์การตัดสินใจเป็นอย่างไร ใครหรือกลไกการสรุปตัดสินเป็นอย่างไร
เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นให้ถกเถียงและไม่มั่นใจว่าระบบใหม่จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของพวกที่ต้องการล้มล้างรัฐบาลที่ชอบธรรม
ในทางเทคนิคจะมีปัญหาบางอย่าง
เช่น ใครจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สหประชาชาติมีปัญหาเรื่องงบประมาณ อยู่ในภาวะต้องรัดเข็มขัด เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ไม่ชำระเงินตามกำหนด
อเมริกาคือหนึ่งในประเทศที่ค้างชำระมากที่สุด นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าเหตุที่ไม่ชำระเพราะไม่เห็นด้วยกับโครงการของสหประชาชาติ
สมาชิกสภาคองเกรสมีความเห็นต่างว่าอเมริกาควรสนับสนุนด้านงบประมาณมากน้อยเพียงใด บางคนเห็นว่าบางประเทศชำระน้อยแต่มีอิทธิพลต่อสหประชาชาติมาก
(แนวคิดผู้จ่ายมากควรมีอิทธิพลมาก ผู้จ่ายน้อยควรมีอิทธิพลน้อย)
หากจะให้สหรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายอย่างเต็มที่คงต้องเปลี่ยนหลักเกณฑ์การสนับสนุนงบประมาณ
แต่ผลที่ตามมาคือหลายประเทศอาจไม่เห็นด้วยและไม่ยินดีชำระเพราะเห็นว่าไม่ยุติธรรมต่อตนเช่นกัน
ยิ่งหากกองกำลังสหประชาชาติมีพันธะกิจต้องเข้าจัดการเหตุจลาจลสงครามกลางเมืองในทุกกรณี
ต้องเพิ่มจำนวนกองกำลังอีกมาก บางกรณีต้องใช้อาวุธหนัก เป็นภาระด้านงบประมาณอย่างยิ่ง
หากมองย้อนอดีตการเสนอความคิดปรับเปลี่ยนสหประชาชาติไม่ใช่เรื่องใหม่
อดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอ็ช.ดับเบิ้ลยู. บุชเรียกร้องให้สหประชาชาติเพิ่มบทบาทด้านการทูตเชิงป้องกัน
เพิ่มบทบาทกองกำลังรักษาสันติภาพและสร้างความสงบ ประธานาธิบดีบิลล์
คลินตันก็กล่าวในทำนองเดียวกัน เรียกร้องให้เพิ่มบทบาทของสหประชาชาติในการป้องกันเหตุมากกว่าเข้าไประงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแล้ว
ดังนั้น สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโอบามาคือการสานต่อ
ปรับปรุงแนวคิดดังกล่าวให้ทันสมัยคมชัดยิ่งขึ้น คือระบบโลกใหม่ที่มีกลไกควบคุมเข้มข้นกว่าเดิม
ความเป็นอธิปไตยลดน้อยลง รัฐทั้งหลายอยู่ภายใต้แนวทางเดียว ผลลัพธ์สุดท้ายคือมนุษย์ทุกคนทั่วโลกอยู่ภายใต้ระบบใหม่
มีวิถีชีวิตตามแบบแผนที่ระบบใหม่วางไว้เหมือนกันทั้งโลก นี่คือวิสัยทัศน์ของรัฐบาลโอบามาของรัฐบาลอเมริกัน
ไม่ว่าจะมีข้อถกเถียงโต้แย้งมากน้อยเพียงไร
29 กันยายน 2013
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 17 ฉบับที่ 6173 วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ.2556
และได้รับการเผยแพร่ผ่าน “US Watch” โดย กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศ,
http://uswatch.mfa.go.th/uswatch/th/article/detail.php?article=1752)
และได้รับการเผยแพร่ผ่าน “US Watch” โดย กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศ,
http://uswatch.mfa.go.th/uswatch/th/article/detail.php?article=1752)
-------------------------
บรรณานุกรม:
1. Remarks by President Obama in Address to the United
Nations General Assembly. The White House. http://www.whitehouse.gov/the-press-office/2013/09/24/remarks-president-obama-address-united-nations-general-assembly
24 September 2013.
2. National Intelligence
Council. Global Trends 2030:
alternative world. http://www.dni.gov/files/documents/GlobalTrends_2030.pdf
accessed 27 January 2013.
3. Interview Given by President al-Assad to Lebanese
Al-Manar TV, SANA. http://sana.sy/eng/21/2013/05/31/485037.htm
31 May 2013.
4. Syria Foreign Ministry's letters to UN Security Council
and the UN Secretary General. Armweeklynews. http://www.armweeklynews.am/awn/e12/en_1054.htm17 March 2012.
5. Ray, James Lee and Kaarbo, Juliet. 2008. Global Politics.USA:
Houghton Miffl in Company.
6. United Nations Peacekeeping. 2013.Year in Review: 2012
United Nations Peace Operations. http://www.un.org/en/peacekeeping/publications/yir/yir2012.pdf
accessed 16 September 2013
7. Jentleson, Bruce W. 2010. American Foreign Policy: The
Dynamics of Choice in the 21st Century.
New York: W. W. Norton & Company.
--------------------