รัฐบาลจีนชุดใหม่หวังสร้างความสัมพันธ์รูปแบบใหม่กับสหรัฐ
ทันทีที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนต้องการดำเนินความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่กับสหรัฐโดยใช้เศรษฐกิจเป็นตัวนำ
กล่าวว่า “เราต้องการร่วมมือกับรัฐบาลโอบามาเพื่อสร้างความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างสองมหาอำนาจ ... ผมไม่ได้พูดว่าไม่มีเรื่องขัดแย้งระหว่างกัน
แต่ตราบใดที่สองประเทศเคารพข้อกังวลต่างๆ ของกันและกัน
สองประเทศสามารถบรรลุผลประโยชน์ร่วมกันอันจะก้าวข้ามความขัดแย้งเหล่านั้น”
คำประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนของนายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
ประการแรก
จีนฉวยโอกาสเปลี่ยนฝ่ายบริหารชูนโยบายใหม่
การประกาศขอดำเนินความสัมพันธ์รูปแบบใหม่กับสหรัฐแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยสร้างความตื่นเต้นพอกับความสำคัญของเนื้อหาที่นำเสนอ
ทั้งสองอย่างชี้ว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้ไม่ใช่นโยบายที่เพิ่งคิดไม่นานแต่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว
และน่าจะเป็นการตัดสินใจเห็นชอบร่วมกันของกลุ่มผู้มีอำนาจปกครองทั้งชุดใหม่และเก่า
ประการที่สอง
จีนยกเรื่องเศรษฐกิจเป็นประเด็นชี้ชวน
นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงร่ายยาวยกประวัติศาสตร์ว่าตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมาความสัมพันธ์สองประเทศมีทั้งความขัดแย้งและความร่วมมือ
แต่โดยรวมแล้วความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นข้อบ่งชี้ว่าทั้งสองประเทศมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกัน
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่มีต่อกันน่าจะเอื้อให้สองประเทศร่วมมือกันมากกว่าจะขัดแย้ง
และจะทำให้โลกไปสู่ทิศทางที่มีสันติและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใครปฏิเสธได้ว่าสองประเทศมีความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าประธานาธิบดีอเมริกาจะมาจากพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกัน
หรือรัฐบาลจีนได้เปลี่ยนผู้นำมาแล้วกี่ชุดก็ตาม
ประชาชนทั้งสองประเทศได้รับผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
ยิ่งในยามที่รัฐบาลของทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องของประชาชน
ทำอย่างไรประชาชนจะมีงานทำ อัตราคนว่างงานอยู่ในระดับที่รับได้
ไม่ว่ารัฐบาลจะมาจากการเลือกตั้งแบบอเมริกาหรือแบบจีนเสถียรภาพของรัฐบาลขึ้นกับเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
การที่รัฐบาลจีนชี้ชวนให้รัฐบาลโอบามาร่วมมือพัฒนาความสัมพันธ์เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชนจึงเป็นการชี้ชวนที่ยากจะปฏิเสธหรือจะต้องพยายามหาเหตุผลที่มีน้ำหนักมากเพียงพอที่จะโต้แย้ง
ประการที่สาม
ไม่มีเหตุผลที่สหรัฐจะปฏิเสธความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน
ในอดีตรัฐบาลอเมริกันใช้ประเด็นสิทธิมนุษยชนกดดันจีนกระทบบรรยากาศการลงทุน แต่บริบทระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปมาก
รัฐบาลสหรัฐคลายความกดดันต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน ความขัดแย้งเดิมๆ
อย่างกรณีจีนกับไต้หวันก็บรรเทาลง
และกลับกลายเป็นว่าไต้หวันกับจีนมีความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นเฉพาะด้านการค้าการลงทุน
นักธุรกิจชาวไต้หวันลงทุนทำธุรกิจในประเทศจีนเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ
ไม่ต่างจากอีกหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐ และในยามที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีต่อกันย่อมเป็นประโยชน์ต่ออเมริกา
ประการที่สี่
คาดว่านานาชาติสนับสนุน
เป็นที่ทราบและยอมรับกันทั่วไปว่าหากเศรษฐกิจจีนหดตัวไม่เพียงกระทบต่อจีนแต่กระทบทั่วโลก
สำหรับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกในปัจจุบัน
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เติบโตหรือหดตัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 หรือ 0.5
ส่งผลกระทบทั่วโลกดังคำกล่าวที่ว่า ‘เมื่อประเทศจีนจาม
โลกทั้งใบสั่นไหว’ มีหลักฐานที่เด่นชัดมากมาย เช่น
เมื่อตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวของโลกอย่างแร่เหล็ก
ทองแดง ถ่านหินเคลื่อนไหวอ่อนตัวทันที
เกิดผลกระทบลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกสินค้าเหล่านี้
เช่นเดียวกับที่หากเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอย่อมไม่เป็นผลต่อการส่งออกของจีนเช่นกัน
อย่างกรณีวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ 2008
รัฐบาลจีนสมัยนั้นต้องอัดฉีดงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อยับยั้งความถดถอยทางเศรษฐกิจของตน
ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกถึงขนาดที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศชื่นชมบทบาทของจีนในขณะนั้น
ดังนั้น
ไม่ว่าเศรษฐกิจจีนหรือสหรัฐประสบปัญหาย่อมไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ
ในทางกลับกันหากสองประเทศร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก
ประการที่ห้า
จีนดำเนินนโยบายเชิงรุกต่อสหรัฐและต่อโลก
นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่ารัฐบาลบารัก
โอบามาหวังใช้ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) เพื่อปิดล้อมทางเศรษฐกิจจีน
สกัดกั้นอิทธิพลของจีนโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่จะเติบโตอย่างมากในทศวรรษนี้
การที่รัฐบาลจีนชุดใหม่ประกาศเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐเท่ากับเป็นการประกาศให้ทั่วโลกทราบว่าจีนมีความปรารถนาดีต่อสหรัฐและต่อโลก
หวังสร้างความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง (เมื่อเทียบกับแนวคิดที่สหรัฐพยายามดำเนินนโยบายปิดล้อมอิทธิพลทางเศรษฐกิจทางการเมืองของจีน)
ดังที่กล่าวแล้วว่าหากเศรษฐกิจสองประเทศเข้มแข็งย่อมเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ
เมื่อจีนชูนโยบายร่วมมือแทนความขัดแย้งจึงเท่ากับเป็นการโต้นโยบายสกัดกั้นของสหรัฐ
และยังแสดงบทบาทของจีนที่ตั้งเป้าจะดำเนินนโยบายสร้างสรรค์ต่อเศรษฐกิจโลก
นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงไม่ได้อธิบายโดยละเอียดว่าความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่ว่าคืออะไร
นอกจากเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้า มองข้ามความขัดแย้งระหว่างกัน
แต่มีข้อควรสังเกตคือเมื่อพูดถึงจีนกับสหรัฐ นายกฯ หลี่ใช้คำว่า “สองมหาอำนาจ” แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจีนชุดใหม่ไม่ได้มองประเทศตนล้าหลังหรืออ่อนแอ
ในขณะเดียวกันในบางประโยคเรียกสหรัฐว่าเป็น “ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก”
และเรียกประเทศตนว่า “ประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
คำพูดที่บอกว่าสหรัฐคือประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งนั้นยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบันแม้อำนาจดังกล่าวจะลดน้อยถอยลงในบางด้าน
เช่นเดียวกับการยอมรับว่าจีนเป็นชาติมหาอำนาจ
ในขณะที่เศรษฐกิจสังคมของจีนยังต้องพัฒนาอีกมาก
เมื่อมองไปในอนาคต
ผลการศึกษาของสภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐ (National Intelligence Council หรือ NIC) พยากรณ์ว่าเมื่อถึงปี 2030 จะไม่มีชาติอภิมหาอำนาจอีกต่อไป แต่เป็นระบบโลกที่มีหลายมหาอำนาจ
หลายเครือข่ายอำนาจ
และจีนจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่หนึ่งของโลก
ความเป็นชาติมหาอำนาจหลายขั้วหลายเครือข่ายมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างขั้วหรือเครือข่ายอำนาจเหล่านี้
และโลกจะมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้นอย่างหลีกไม่พ้น
การที่รัฐบาลจีนชุดใหม่ชูนโยบายปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐ
ให้มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมากขึ้นและมองข้ามข้อพิพาท
อันจะก่อประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและต่อโลกจึงเป็นแนวทางที่สร้างสรรค์
และเลือกจังหวะโอกาสได้อย่างเหมาะสมทั้งในแง่รัฐบาลโอบามาที่ไม่นิยมความขัดแย้งทางทหาร (เมื่อเทียบกับรัฐบาลอเมริกาบางชุดในอดีต)
และในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกต้องการความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง
ทั้งหมดนี้ยังแสดงถึงบทบาทความเป็น “ชาติมหาอำนาจ”
ของจีนต่อโลกในทางสร้างสรรค์
และเป็นโอกาสของอีกชาติมหาอำนาจที่จะแสดงบทบาทอย่างมีวิสัยทัศน์ทัดเทียมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เป็นบทบาทของสองมหาอำนาจที่มีต่อระบบโลกปัจจุบัน
18 มีนาคม 2013
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ได้รับการเผยแพร่ผ่าน สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2013 http://www.thaizhong.org/index.php?option=com_content&view=article&id=2771:2013-03-20-09-22-49&catid=63:articlespecialorther-cat&Itemid=100)
(ได้รับการเผยแพร่ผ่าน สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2013 http://www.thaizhong.org/index.php?option=com_content&view=article&id=2771:2013-03-20-09-22-49&catid=63:articlespecialorther-cat&Itemid=100)
-------------------------
บทความที่เกี่ยวข้อง:
มีการวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่าเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งที่สหรัฐอเมริกาหวังจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก คือเพื่อสกัดกั้น ปิดล้อม อิทธิพลของจีนต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและต่อโลก
บรรณานุกรม:
1. More opportunities for Sino-U.S. trade, investment:
premier, Xinhua, 17 March 2013, http://news.xinhuanet.com/english/china/2013-03/17/c_132240139.htm
2. ‘Global economy: When China sneezes, 'Financial Times,
17 October 2012, http://www.ft.com/intl/cms/s/2/8514c0dc-17af-11e2-9530-00144feabdc0.html#axzz2NmkKYA70
3. National Intelligence
Council, “Global Trends 2030: alternative world,” http://www.dni.gov/files/documents/GlobalTrends_2030.pdf
4. สหรัฐฯ สามารถใช้ TPP
เพื่อปิดล้อมจีนได้หรือไม่, http://www.chanchaivision.com/2012/12/tpp.html
---------------------