ฮิลลารี คลินตัน หญิงแกร่งหญิงเก่ง
ทั่วโลกเริ่มรู้จักชื่อฮิลลารี
ร็อดแฮม คลินตันในฐานะสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกาในปี 1993 เมื่อนายวิลเลียม
เจฟเฟอร์สัน คลินตัน หรือที่มักรู้จักกันในนามบิล คลินตันได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ในฐานะสุภาพสตรีหมายเลข 1 เธอมีหน้าที่ต้องแสดงบทบาทสนับสนุนประธานาธิบดีหลายอย่าง
แต่เรื่องที่เป็นข่าวดังทั่วโลกเมื่อเกิดเหตุอื้อฉาวทางเพศระหว่างตัวประธานาธิบดีคลินตันกับนักศึกษาหญิงที่มาฝึกงานในทำเนียบขาวคนหนึ่ง
สื่อมวลชนนำเสนอข่าวความระหองระแหงระหว่างคู่สามีภรรยาอย่างต่อเนื่อง
แต่นั่นไม่เป็นเหตุให้เธอท้อแท้
ฮิลลารี คลินตัน ลงสมัครเลือกตั้งตำแหน่งวุฒิสมาชิกเป็นครั้งแรกและชนะการเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกมลรัฐนิวยอร์กในคราวเลือกตั้งปลายปี
2000 และชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2006 ได้เป็นวุฒิสมาชิกต่ออีกสมัย
เส้นทางการเมืองของเธอไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้
ในปี 2007 เธออาจหาญประกาศลงชิงตำแหน่งผู้แทนพรรคเดโมแครตเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ในปี 2008 เป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของพรรคที่ลงชิงตำแหน่งดังกล่าว
และคู่แข่งสำคัญของเธอไม่ใช่อื่นใคร นั่นคือวุฒิสมาชิกบารัก โอบามาหรือประธานาธิบดีคนปัจจุบันนั่นเอง
ด้วยความสามารถส่วนตัวอันโดดเด่นกับคะแนนนิยมภายในพรรคเดโมแครตที่เป็นรองเฉพาะนายโอบามา
เธอจึงได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศเมื่อนายโอบามาชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี
และเริ่มฉายความสามารถให้ทั่วโลกได้ประจักษ์
รัฐมนตรีคลินตันนิยามหลักการทำงานของเธอว่าเป็น “การทูตสาธารณะ”
เธอต้องการนำเสนอจุดยืนหลักคิดของอเมริกาผ่านสื่อทุกประเทศ เพราะเธอคือตัวแทนของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ส่งสาสน์จากประเทศตนไปสู่คนทั่วโลก
เช่นกลางเดือนกรกฎาคม
เธอได้เดินทางรอบโลกด้วยการเยือน 9 ประเทศ เริ่มจากฝรั่งเศส
ต่อด้วยอัฟกานิสถาน ญี่ปุ่น มองโกเลีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา อียิปต์ จบที่อิสราเอล
แล้วจึงบินกลับประเทศ คิดเป็นระยะทางบิน 43,450 กิโลเมตร (มากกว่าระยะทางรอบโลก
3,220 กิโลเมตร) และเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เยือนต่างประเทศมากที่สุดกว่าร้อยประเทศ
ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศเธอต้องเผชิญหน้ากับผู้นำประเทศต่างๆ
อยู่เสมอ ทั้งพวกเห็นด้วยกับนโยบายสหรัฐฯ กับพวกที่คัดค้านต่อต้าน
มีวาระที่ต้องเผชิญหน้ากับการโต้แย้ง การไม่เห็นด้วย จากผู้นำเหล่านั้น
เฉพาะในรอบเดือนที่ผ่านมา เธอต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งของประเทศอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก
ต้องเผชิญกับปัญหาการเผาโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายต่อสถานกงสุลสหรัฐฯ
ประจำเมืองเบงกาซี ต้องเตรียมการป้องกันสถานทูต สถานที่สำคัญๆ
ทั่วโลกจากเหตุมุสลิมลุกฮือประท้วงเพราะภาพยนตร์ลบหลู่ศาสนา
จนถึงนายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกโรงโจมตีความอ่อนแอของประธานาธิบดีโอบามาต่อนโยบายโครงการพัฒนานิวเคลียร์อิหร่าน
ประเด็นร้อนแรงที่เธอต้องเผชิญครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นเรื่องการเผาโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ
ประจำเมืองเบงกาซี ประเทศลิเบีย เอกอัครราชทูตพร้อมกับเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันอีก 3
คนเสียชีวิตในบริเวณสถานกงสุล ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลโอบามาสามารถพลิกเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยการแสดงจุดยืนว่าประชาธิปไตยยังหมายถึงการที่พลเมืองมีเสรีภาพในการพูดสิ่งที่เขากับกลุ่มของเขาคิดเห็นโดยปราศจากความกลัว
บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมและกระบวนการที่ปกป้องสิทธิของทุกคน แผ่นดินอเมริกาเป็นบ้านของคนทุกความเชื่อทุกศาสนา
และรัฐบาลสหรัฐฯ
กับลิเบียกำลังเร่งหาตัวผู้กระทำผิดซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนลิเบีย
รัฐบาลและชาวลิเบียไม่เห็นด้วยกับการก่อการร้าย
ไม่ว่าความจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร
ความผิดพลาดความสับสนของข้อมูลเหตุการณ์อยู่ตรงไหน ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ
นางฮิลลารี คลินตันยืดอกแสดงความรับผิดชอบว่าตนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลกระทรวงการต่างประเทศที่มีเจ้าหน้าที่กว่า 6 หมื่นคนในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก 275 แห่ง ส่วนใครจะตีความว่าเป็นการเบี่ยงเป้าไม่ให้โจมตีประธานาธิบดีโอบามาในช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายก็แล้วแต่ว่าใครจะมีมุมมองเช่นไร
มาถึงบัดนี้ นางฮิลลารี ร็อดแฮม คลินตัน
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2 สมัย
อดีตวุฒิสมาชิกมลรัฐนิวยอร์ก 2 สมัยและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศประกาศจะไม่ได้รับตำแหน่งสมัยที่ 2 อีกไม่ว่าประธานาธิบดีบารัก โอบามาจะได้รับเลือกอีกสมัยหรือไม่
รัฐมนตรีคลินตันในวัย 64 ปีตัดสินใจแล้วว่าตนได้มาถึง
ณ เวลาที่จะหยุดได้พักจากการงานทั้งปวง แม้ใจนั้นยังตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับใช้ชาติตลอดไป
คนจำนวนมากจะเฝ้ารออ่านหนังสืออัตชีวประวัติของหญิงแกร่งหญิงเก่งคนนี้
………..
………..
รัฐมนตรีต่างประเทศฮิลลารี คลินตัน กล่าวสุนทรพจน์สุดท้าย
ความตอนสุดท้ายว่า “และมาถึงวันนี้ หลังจากทำหน้าที่มาสี่ปี เดินทางมาแล้วเกือบ 1
ล้านไมล์ เยี่ยมเยือน 112 ประเทศ ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งมีความเชื่อมั่นต่อประเทศของเรา
เชื่อมั่นว่าอนาคตของเราจะดีขึ้น ข้าพเจ้ารู้ว่ามันเป็นอย่างไรเมื่อเครื่องบินสีฟ้าขาวประทับด้วยคำว่า
“สหรัฐอเมริกา” แตะพื้นบนเมืองหลวงบางแห่งที่ห่างไกล
ข้าพเจ้าได้รับเกียรติอย่างสูงส่งพร้อมกับความรับผิดชอบในฐานะตัวแทนของประเทศที่สำคัญยิ่งของโลก
ข้าพเจ้ามั่นใจว่าผู้รับงานต่อจากข้าพเจ้า ทีมงานของเขา และทุกคนที่ทำงานในตำแหน่งต่างๆ
-ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสิทธิพิเศษ-จะทำหน้าที่นำในศตวรรษนี้ดังเช่นที่เราได้ทำเมื่อศตวรรษก่อน
ด้วยความชาญฉลาด ไม่รู้จักเหนื่อยล้า เต็มด้วยความกล้าหาญ เพื่อจะทำให้โลกนี้มีสันติภาพมากขึ้น
ปลอดภัยขึ้น มั่งคั่งขึ้น และมีอิสรภาพมากขึ้น และนั่น ข้าพเจ้าขอขอบคุณยิ่ง”
26 ตุลาคม 2012
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ปรับปรุง 1 กุมภาพันธ์ 2013)
(ปรับปรุง 1 กุมภาพันธ์ 2013)