เลือกตั้งสหรัฐอเมริกา 2012 ความผิดพลาดทั้งหมด รมต. คลินตันขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
16 ตุลาคม 2012
ชาญชัย
จากเหตุเผาสถานกงสุลสหรัฐอเมริกา
ประจำเมืองเบงกาซี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ นายคริสโตเฟอร์ สตีเว่นส์
พร้อมกับเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันอีก 3 คนเสียชีวิตในบริเวณสถานกงสุล ในตอนแรกประธานาธิบดีบารัก
โอบามากับรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน
กล่าวเชื่อมโยงเหตุดังกล่าวกับเหตุมุสลิมประท้วงภาพยนตร์ลบหลู่ศาสนาที่เกิดขึ้นพร้อมๆ
กัน
แต่เรื่องกลับไม่ถูกต้อง
เมื่อเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การต่อกรรมาธิการรัฐสภาว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่เคยสรุปว่าการโจมตีเผาสถานกงสุลสหรัฐฯ
ที่ลิเบียเกิดจากภาพยนตร์ลบหลู่ศาสนา และสถานกงสุลเป็นเป้าต่อการโจมตีมานานแล้ว
(AP)
อีกทั้งก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งให้ทำเนียบขาวเพื่อขอเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยแก่สถานกงสุล
แต่ได้รับการปฏิเสธ
ล่าสุด
รมต.ฮิลลารี คลินตัน กล่าวแสดงความรับผิดชอบว่า “ดิฉันเป็นผู้รับผิดชอบ
ดิฉันบริหารกระทรวงการต่างประเทศที่มีเจ้าหน้าที่กว่า 6 หมื่นคนในสถานที่ต่างๆ
ทั่วโลก 275 แห่ง ท่านประธานาธิบดีกับรองปธน.ไม่รับรู้การตัดสินใจใดๆ
ที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง” (CNN)
รมต.คลินตันกล่าวตรงไปตรงมาว่า
เหตุที่ออกมากล่าวยอมรับเพราะ “ดิฉันต้องการหลีกเลี่ยงการกล่าวโทษทางการเมือง ...
เรากำลังใกล้เลือกตั้ง”
ดังนั้น ที่ปรากฏชัดเจนตรงไปตรงมา
คือ รมต.คลินตันไม่ต้องการให้นำเรื่องนี้เป็นประเด็นการเมือง บ่อนทำลายคะแนนเสียงของปธน.โอบามา
เบื้องต้นเป็นกลยุทธ์ ‘หยุดเรื่องไว้ที่ตรงนี้’ คงเพราะประเมินว่าการแสดงออกเช่นนี้ดีกว่าที่จะให้ฝ่ายพรรครีพับลิกันนำเรื่องนี้ไปพูดโจมตีเรื่อยๆ
อย่างไม่รู้จบ และอาจขยายผลบั่นทอนเรื่องอื่นๆ เช่น ‘ปธน.โอบามาพูดเท็จ
ไม่น่าเชื่อถือ’
เป็นกลยุทธ์ต้านการหาเสียงแบบทำลายคะแนน (Negative Campaign) ของฝ่ายตรงข้าม
หรืออยู่ในภาวะที่ความจริงผูกมัดจนดิ้นไม่หลุดแล้ว
ฝ่ายที่สนับสนุนนายมิตต์ รอมนีย์อาจเห็นว่า ‘แก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น’
หรือ ‘ยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งแย่’ และทำไมก่อนหน้านี้ปธน.โอบามาไม่แก้ไขความเข้าใจผิด
หากไม่มีการสอบสวนจากกรรมาธิการรัฐสภา คนอเมริกันจะยังปักใจเชื่ออย่างผิดๆ ต่อไป
ใช่หรือไม่
มุมมองต่อการออกมายอมรับผิดของรมต.ฮิลลารี คลินตันจึงมีหลากหลายแบบ
ถ้าวิเคราะห์แบบเชิงลึก ฝ่ายปธน.โอบามาอาจใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากผู้สนับสนุน
เพราะหากวิเคราะห์ถึงที่สุด ผู้เป็นปธน.ย่อมต้องรับผิดชอบแน่นอน แต่ความรับผิดชอบไม่ถึงกับต้องลาออกจากตำแหน่ง
(กฎหมายไม่ได้บัญญัติเช่นนั้นด้วย) หรือเป็นเหตุต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างที่พรรคคู่แข่งต้องการ
ดังนั้น หากนายมิตต์ รอมนีย์นำเรื่องนี้มาโจมตีอย่างไม่จบไม่สิ้น ประชาชนที่ศรัทธาปธน.โอบามาอาจเห็นใจท่านมากขึ้น
และเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามโจมตีทางการเมืองเกินขอบเขต
ผมคาดเดาว่าเราอาจเห็นปธน.โอบามาเรียกคะแนนสงสารผ่านการอภิปรายระหว่างปธน.โอบามากับนายรอมนีย์
ในสัปดาห์นี้ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เช่น กล่าวขอโทษ ยอมรับความผิดพลาดบางส่วน
เป็นภาคต่อจากรมต.
คลินตันที่ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ปธน.โอบามาจะเสียคะแนนหรือได้คะแนนสงสาร
เป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป และเชื่อว่าทั้งสองพรรคจะปรับกลยุทธ์เพื่อให้ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
ทั้งสองฝ่ายจะพยายามหาช่องเพื่อให้ตนได้คะแนนหรือตัดคะแนนอีกฝ่าย
ประเด็นที่ควรจะทิ้งท้ายไว้ คือเรื่องนี้เป็นอีกกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า
คำตอบของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือสิ่งที่นำเสนอผ่านสื่ออาจไม่ตรงข้อเท็จจริง
หากไม่อยู่ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งปธน. อาจไม่มีการขุดคุ้ยการเรียกร้องหาความจริงอย่างทันท่วงที
ความจริงจึงถูกบิดเบือน หรือความจริงกลายเป็นเพียงอีกข่าวลือที่ลือๆ กันไป